ถึงคิวติด ‘เรต’ ขนมกรุบกรอบ
เห็นจะนิ่งนอนใจต่อไปไม่ได้อีกแล้วสำหรับอนาคตของชาติ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาโรคอ้วน น้ำตาลในเลือดสูง น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานไปไกล
ลามไปถึงกลายเป็นโรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ ส่งผลให้โตขึ้นเป็นวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ ที่สุขภาพไม่แข็งแรง และมีผลไปถึงประเทศชาติต้องเสียงบประมาณในการดูแลรักษา โอ้โห… นี่มันเรื่องระดับชาติชัดๆ
งานนี้ต้นตอกลายเป็นเจ้าขนมซองกรุบกรอบห่อละ 5 บาท 10 บาท ซะอย่างงั้น ขนมจิ๊บๆ ที่ทำให้เรื่องกลายเป็นไม่จิ๊บสมราคา ด้วยส่วนผสมไม่ว่าจะเป็นเกลือ น้ำตาล ผงปรุงรส แป้ง ไขมันทรานส์ น้ำมัน สารกันบูด ตัวการสำคัญทำร้ายทำลายสุขภาพได้ในระยะยาวทั้งสิ้น
นอกจากกระทรวงสาธารณสุขจะขอความร่วมมือไปยังโรงเรียนต่างๆ ให้ห้ามขาย ให้มีความเข้มงวดในการเลือกอาหารและขนมที่เข้ามาจำหน่ายในโรงเรียนให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
ติดเรตขนม…เด็กรุ่นใหม่เลือกได้
น่าตกใจเหมือนกันที่ผลการสำรวจการบริโภคขนมกรุบกรอบของเด็กและเยาวชนในปี 2549 เด็กไทยมีการใช้เงินซื้อขนมกรุบกรอบเฉลี่ย 26 บาทต่อคนต่อวัน คิดเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายที่ได้รับต่อวัน หรือคนละ 9,800 บาทต่อปี ในขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเพียงคนละ 3,024 บาทต่อปีเท่านั้น
นอกจากนี้ ขนมที่เด็กๆ รับประทานนั้นส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์ ประกอบด้วยแป้ง น้ำตาล โซเดียม เป็นเหตุทำให้เด็กเกิดโรคอ้วนตามมา “กรมอนามัยจึงได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารลดน้ำตาล ไขมัน โซเดียม ลงให้ได้ 25 เปอร์เซ็นต์ เพื่อแก้ไขปัญหาโรคอ้วนในเด็ก พร้อมกำหนดตราสัญลักษณ์อาหารลดน้ำตาล ไขมัน โซเดียม ในขนมที่ผลิตใหม่จำนวน 4 แบบ ตามชนิดของการลด ติดที่บรรจุภัณฑ์ ให้รับรู้และมีทางเลือกในการตัดสินใจเลือกซื้อขนมเพื่อสุขภาพในอนาคต” นพ.โสภณ เมฆธน รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
นพ.กฤษดา ศิรามพุช แพทย์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า ขณะนี้เด็กไทย 1 ใน 10 คน ตั้งแต่วัย 4-5 ขวบ จนถึงช่วงวัยรุ่น ส่วนใหญ่มีปัญหาไขมันในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติทั่วไป ความดันสูง น้ำตาลสูง โดยเฉพาะในช่วง 1-7 ขวบ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเด็กไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาไปทั่วโลก องค์การอนามัยโลกเคยออกมาแสดงความห่วงใยในเรื่องนี้ ที่ประชากรเด็กในโลกอุตสาหกรรมบริโภคขนมไม่มีประโยชน์มากเกินไป ขาดการออกกำลังกายที่สมวัย
“โดยเฉพาะเกลือและผงปรุงรส เด็กๆ ควรได้รับไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัมต่อวัน ในผู้ใหญ่ไม่เกินวันละ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ในความเป็นจริงแล้วขนมซองกรุบกรอบนั้นมีเกลือและผงปรุงรสรวมอยู่เกือบ 2,000 มิลลิกรัม ทำให้เด็กๆ ได้รับเกลือความเค็มต่างๆ เกือบเท่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว ซึ่งบริษัทผู้ผลิตก็เขียนวัตถุดิบไว้ไม่ชัดเจน เด็กหรือคนทั่วไปก็อ่านไม่ค่อยเข้าใจ เด็กๆ ก็รับประทานเข้าไปด้วยความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พ่อแม่ โรงเรียนควรเอาใจใส่เรื่องนี้ให้มากขึ้น”
มีผลวิจัยทางการแพทย์ชี้ชัดออกมาแล้วว่า ส่วนประกอบในสารกันบูดมีผลทำให้เด็กเกิดปัญหาสมาธิสั้น หากบริโภคติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะส่งผลเสียกับการเรียน เฉพาะที่ประเทศอังกฤษ มีการทำงานวิจัยโดยแบ่งเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้บริโภคขนมและอาหารที่ผสมสารกันบูด อีกกลุ่มหนึ่งให้บริโภคอาหารและขนมที่ปลอดสารดังกล่าว โดยให้บริโภคแต่พายผลไม้และผลไม้สด ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผลสรุปออกมาว่า เด็กๆ ที่บริโภคขนมผสมสารกันบูดและผงปรุงรส ทำข้อสอบได้ไม่ดีเท่า แถมไม่มีสมาธิที่ดีในการทำข้อสอบ
นอกจากขนมซองกรุบกรอบแล้ว อาหารที่มีสารกันบูดยังพบในพวกไส้กรอก ลูกชิ้น ฮอตดอก เบคอน กุนเชียงสีแดงๆ สดๆ ราคาถูกไม้ละ 5 บาท ที่ชอบมีรถเข็นมาขายหน้าโรงเรียน ซึ่งเป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์กับเด็กๆ เพราะมีทั้งโซเดียม กำมะถัน ซัลไฟด์ ไนโตรเจน ดินประสิว หากบริโภคเป็นเวลานานๆ จะสะสมในร่างกาย มีโอกาสทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ในอนาคต
ที่สำคัญแคลอรีของอาหารกลุ่มนี้ ต่อ 1 ซอง มีแคลอรีสูงเท่ากับอาหารเกือบ 1 จาน เด็กๆ ต้องการแคลอรีเพียง 1,500 แคลอรี แต่พวกขนมซองต่างๆ เหล่านี้มีแคลอรีกว่า 1,000 แคลอรี เข้าไปแล้ว
“ที่พ่อแม่มักจะบ่นว่าลูกๆ ไม่ค่อยกินข้าว ก็เพราะเด็กๆ กินขนมพวกนี้ก่อนกินข้าว ทำให้อิ่มและกินข้าวไม่ลง ทำให้มีแต่มื้อที่ไม่มีคุณภาพ ดังนั้นพ่อแม่ควรจะให้ลูกงดอาหารซองก่อนอาหารมื้อหลัก และควรให้เด็กๆ กินขนมเหล่านี้ให้น้อยที่สุดเพราะไม่มีประโยชน์และคุณค่าอาหารอะไรเลย”
หากห้ามไม่ได้จริงๆ ก็ขอให้เป็นนานๆ ครั้ง ควรสนับสนุนให้เด็กๆ บริโภคอาหารไทย ผลไม้ และขนมไทย หรือขนมขบเคี้ยวแบบไทยๆ แทน เช่น กระยาสารท เมี่ยงคำ เงาะลอยแก้ว ซึ่งมีประโยชน์กว่ามาก แม้ว่าขนมไทยอาจจะมีกะทิ น้ำผึ้ง ก็ยังดีกว่า เพราะกะทิยังเป็นไขมันอิ่มตัวสายสั้น ย่อยง่ายไม่สะสมเหมือนไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นไขมันแปรรูปที่เข้าไปสะสมตามหัวใจ หลอดเลือด เป็นไขมันพิฆาตตัวจริง ที่ทำให้เส้นเลือดบวมอักเสบ และตับมีปัญหา
จรรยารัตน์ กาญจนบุตร ผู้อำนวยการโรงเรียนเมืองพัทยา กล่าวว่า โรงเรียนในกลุ่มเมืองพัทยาเห็นความสำคัญในเรื่องนี้และมีการรณรงค์ในเรื่องดังกล่าวมา 2-3 ปีแล้ว โดยขอความร่วมมือไม่ให้มีการขายขนมซองขนมกรุบกรอบและน้ำอัดลมในร้านอาหารของโรงเรียน เพราะเป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่าทางอาหารและราคาแพง โดยเน้นขายขนมห่อใบตองแบบไทยๆ ผลไม้ น้ำแข็งไสหวานเย็น หรือเบเกอรีแบบโฮมเมด เพราะโรงเรียนก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเด็กๆ ให้มากที่สุด เพราะเด็กใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนมากกว่าอยู่ที่บ้าน ครูอาจารย์มีหน้าที่ดูแลใส่ใจเด็กไม่น้อยกว่าพ่อแม่
ถ้าไม่ขายหนูไม่กินก็ได้…
ตัวแทนจากเด็กน้อย 2 คน น้องท็อป ด.ช.วัชรพล วัย 12 ปี นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนวัดมหรรณพาราม กล่าวว่า ถ้าในโรงเรียนไม่มีขายก็ไม่เดือดร้อน เพราะโดยปกติน้องท็อปชอบกินขนมไทยห่อใบตอง พวกข้าวเหนียวสังขยาหน้ากุ้ง หน้าปลาแห้ง มากกว่าขนมซองๆ กรุบกรอบอยู่แล้ว ราคาก็ถูกกว่าแค่ห่อละ 7 บาทเอง แต่ขนมซองตั้ง 10 บาท “นานๆ จะซื้อกินสักครั้ง ถ้าไม่ขายก็ไม่เป็นอะไร กินขนมไทยแทนก็ได้ไม่เห็นเดือดร้อนเลย
ด้านน้องอิ๊ง ด.ญ.อาภาศิริ วัย 9 ขวบ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ กล่าวว่า ถ้าห้ามขายในโรงเรียนก็คงแสดงว่าไม่มีประโยชน์จริงๆ เพราะเวลาที่มีข่าวว่าไม่ให้ขายอะไรในโรงเรียนส่วนใหญ่เพราะว่าเป็นของไม่ดี เป็นของอันตราย ก่อนหน้านี้คุณพ่อก็บอกว่าอย่ากินขนมซองพวกนี้มากมันไม่ดี ไม่มีประโยชน์ ถ้านานๆ ทีพอกินได้ ถ้าไม่อยากเป็นเด็กอ้วนให้กินผลไม้ดีกว่า แต่ตัวหนูชอบกินอาหารคาวมากกว่าขนม เวลาหิวหนูก็บอกให้แม่ทำอาหารให้ค่ะ
เรื่องจริงของขนมนมเนย…เอิงเอย
1.รู้ไหมสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แก้ไขมาตรา 156 ห้ามเติมสารให้ความหวานในนมผงสูตรต่อเนื่องในเด็กตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 3 ปี แต่นมปรุงแต่งรส กลิ่น สี ล้วนมีระดับน้ำตาลสูงกว่าความต้องการต่อวันประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้เหตุผลเพื่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์
2.ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินกว่า 6 ช้อนชาในหนึ่งวัน
3.เด็กๆ ไม่สนใจเรื่องประโยชน์ของอาหาร และจะเลือกรับประทานแต่รสชาติที่ถูกปากเท่านั้น รู้ไหมว่าเด็กเริ่มรับรู้รสและจดจำรสในสมองเมื่ออายุได้ 6 เดือน
4.เด็กไทยเสียค่าขนมเฉลี่ย 26 บาทต่อคนต่อวัน และมากกว่านี้ตามฐานะทางครอบครัว
5.รู้ไหมว่าโฆษณาขนมคั่นรายการการ์ตูนสูงถึง 42 ครั้งต่อชั่วโมง ทำให้เด็กไทยซื้อขนมเฉลี่ยมากกว่าวันละ 135 ล้านบาท
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
Update:13-10-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่