‘ถังขยะ’ไร้มด-‘เหยี่ยวตาไฟ’ไล่พิราบ

ความรู้วิทยาศาสตร์ฉบับใช้ได้จริง

‘ถังขยะ’ไร้มด-‘เหยี่ยวตาไฟ’ไล่พิราบ

 

          ต่อให้เป็นเด็กเรียนสักแค่ไหน แต่เมื่อถึงคราวต้องทำโครงงานวิทยาศาสตร์ส่งครูช่วงปลายเทอม เชื่อได้ว่าไม่มากก็น้อยคงมีอันต้องกลุ้มใจเป็นแน่ เพราะไหนจะต้องตั้งประเด็นหัวข้อ ไหนจะตั้งสมมติฐาน ไหนจะหาข้อมูล ทดลอง จดบันทึก สรุปผล ฯลฯ โอ๊ย…ช่างชวนปวดหัว

 

          ถึงเช่นนั้นก็ใช่ว่าเรื่องวิทยาศาสตร์จะเป็นความรู้ที่ชวนถอยห่างซะทีเดียว เพราะรู้กันดีว่าหากเข้าใจในแก่นจริงๆ เรื่องน่าเครียดก็กลับน่าสนุกได้ไม่น้อย!!

 

          โดยเฉพาะแนวทางการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ด้วยการดึงประเด็นใกล้ตัวที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต และเป็นเรื่องที่นักเรียน (ในฐานะผู้เรียนรู้)มีความชอบ ความสนใจอยู่แล้ว ที่ช่วยเปลี่ยนความรู้สึกน่าเบื่อให้เป็นเรื่องสนุกได้ ประหนึ่งความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่ได้จากโครงงานได้ตอบโจทย์สงสัยใคร่รู้ของตัวผู้ทำ ไม่ใช่เพียงนามธรรมเลื่อนลอย

 

          “โครงงาน (เชิง) วิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า”โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมสนับสนุน และวางแนวทางให้เป็นกิจกรรมพิเศษนอกหลักสูตรปกติที่มุ่งพัฒนาศักยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์ให้แก่สังคมบนหลักการ “วิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเกิดประโยชน์จริง”

 

          ชายกร สินธุชัย ผู้จัดการโครงการนี้อธิบายว่า หลังสิ้นสุดในระยะแรก(กลางปี 2550-ต้นปี 2552) พร้อมเดินทางเข้าสู่ระยะต่อมา (เมษายน2552-เมษายน 2555) ค่ายโครงงาน (เชิง) วิทย์เพื่อสุขภาพฯ เป็นกิจกรรมที่ได้รับการตอบรับจากบุคลากรและหน่วยงาน ในระดับชั้นมัธยมศึกษาทั่วประเทศมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนแรก ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ที่กิจกรรมได้เน้นแก่ผู้ที่เข้าร่วมนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายเป็นกิจกรรมที่มุ่งตอบความสงสัยของผู้เรียนและรับใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ชุมชนจริงๆ

 

          “เมื่อโครงการได้ไปกระตุ้นให้นักเรียนอยากเข้ามาร่วมกระบวนการเรียนวิทยาศาสตร์ผ่านการทำโครงงาน เพื่อตอบปัญหาและสิ่งที่พวกเขาสนใจแล้วในระยะแรก จากนี้เพื่อให้การพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับครู นักเรียน และผู้นำชุมชนในชนบทก่อนประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ในการเชื่อมโยงกับบริบทชุมชน ภูมิปัญญาเทคโนโลยีท้องถิ่น รวมถึงมุ่งสร้างทักษะและการคิดแบบวิทยาศาสตร์ได้แข็งแรงขึ้น ขั้นต่อไปโครงการจึงเน้นที่การสร้างเครือข่ายให้กระบวนการเรียนรู้เช่นนี้ได้เข้าไปร่วมกับกลไกที่มีอยู่ อาทิ ในกิจกรรมพิเศษของโรงเรียน การเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษา” ชายกรอธิบายผ่านวงสนทนาเล็กๆ เมื่อครั้งระดมสมองจากผู้เกี่ยวข้องที่เห็นพ้องกันว่ามา

 

          “ถูกทาง”แล้ว“ครูหนู”ปรียา เตี้ยมชุมพล โรงเรียนรัฐราษฎร์อนุสรณ์ จ.นครสวรรค์หนึ่งในตัวแทนครูผู้ร่วมกิจกรรม เล่าว่า แรกๆ ไม่ค่อยเต็มใจที่จะร่วม

‘ถังขยะ’ไร้มด-‘เหยี่ยวตาไฟ’ไล่พิราบ

 

          โครงการนี้นัก เนื่องด้วยมีความคิดว่า ลำพังงานประจำของตัวเองก็มากพออยู่แล้ว ไม่รู้จะไปเพิ่มงานอีกทำไม ที่สำคัญโครงงานวิทย์ดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับนักเรียน คงมีน้อยคนที่อยากจะเข้าร่วม

 

          “แต่พอมาร่วมกิจกรรมโดยเริ่มจากการอบรม ทำให้เราต้องเปลี่ยนความคิด และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกอย่างเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์ได้หมด เวลาสอนให้เด็กคิดก็จะบอกเช่นนี้ ว่าให้สังเกตว่ารอบตัวเรามีอะไรบ้าง อะไรที่เป็นปัญหาและวิทยาศาสตร์สามารถช่วยเราได้ ดึงกระบวนการคิดผ่านการวิเคราะห์ประสบการณ์ในท้องถิ่น พร้อมตั้งคำถามว่า เราจะเปลี่ยนแปลงอะไรด้วยวิทยาศาสตร์กันดี”

 

          จึงเป็นที่มาของโครงงาน “ถังขยะไร้มด” ของนักเรียนโรงเรียนรัฐราษฎร์อนุสรณ์ ที่ต่อยอดมาจากกระบวนการคิดแบบไม่ซับซ้อน แต่เน้นประโยชน์และใช้ได้จริงบนความสงสัยที่ว่า จะดีแค่ไหน ถ้าถังขยะในชั้นเรียนไม่มีมดมาให้วุ่นวายใจ

 

          “โบว์” ศศิภา สีทิน นักเรียนชั้น ม.5 อธิบายว่า โครงงานถังขยะไร้มดเกิดจากการมองเห็นปัญหาที่เพื่อนในชั้นเรียนต่างรำคาญใจที่บริเวณถังขยะเต็มไปด้วยมด ดังนั้น จึงร่วมกันคิดว่าต้องผลิตถังขยะด้วยวัสดุอะไรมดจึงจะหายไป

 

          “ระหว่างนั้นพวกเราก็ได้ค้นคว้าในห้องสมุด ถามครู ถามญาติผู้ใหญ่ว่ามีสมุนไพรชนิดใดบ้างไหมที่มีคุณสมบัติไล่แมลง ก่อนจะได้คำแนะนำว่าให้ลองใช้ใบมะกรูด จึงเป็นที่มาของการศึกษาสารที่อยู่ในใบมะกรูด ถึงรู้ว่าในนั้นมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งช่วยขับไล่แมลงต่างๆ ได้เป็นอย่างดีก่อนจะเอามาทำเป็นถังขยะผสมร่วมกับเศษกระดาษที่ใช้แล้ว ในรูปแบบเปเปอร์มาร์เช่ แต่กว่าจะทำได้ก็ต้องใช้เวลานานเหมือนกัน กว่าจะรู้ว่าต้องใช้ใบมะกรูด ใช้กระดาษในปริมาณเท่าใด กว่าจะทำถังขยะให้เข้ารูปก็ต้องใช้ความอดทนเหมือนกันนะ”เธอสรุป

 

           ส่วนยุทธนา หนูหอม มองต่างจากเพื่อนๆ ว่า ในโรงเรียนของตัวเองนอกจากมีมดแล้ว มูลนกพิราบบนหลังคาอาคารเรียนก็สร้างความรำคาญใจให้ตนและเพื่อนๆ ไม่ต่างกัน จึงเป็นที่มาของชื่อโครงงานเก๋ๆ “นกเหยี่ยวตาไฟ เสียงเค้าแมวอัตโนมัติ ไล่นกพิราบ”

‘ถังขยะ’ไร้มด-‘เหยี่ยวตาไฟ’ไล่พิราบ

 

          “ผมชอบที่ความรู้ที่พวกเราไปหามาใช้ได้จริง เวลาเครื่องนี้ดังทุก15 นาที และมีเสียงดังในระยะไม่เกิน 1-2 เมตร นอกจากจะไล่นกพิราบไม่ให้ขี้บนหลังคาแล้ว เรายังภูมิใจว่าผลงานของเรามีคนชอบและนี่เป็นครั้งแรกที่ทำโครงงานวิทย์ เพราะไม่นึกว่าตัวเองจะร่วมได้เพราะไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร”ยุทธนาพูดปนยิ้มปลื้มอย่างไรก็ดี ในมุมของการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ใช่ว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่มีแต่เรื่องดีๆ ได้เห็นผลรวดเร็วเสมอไป หากแต่กับโครงงาน”เครื่องคัดลอกและจัดเก็บเยื่อหุ้มเมล็ดถั่วลิสง” ของนักเรียนโรงเรียนจอมทอง จ.เชียงใหม่ ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะประสบความสำเร็จ

 

          “จำได้ว่าเริ่มทำตอนเรียน ม.4 แต่สำเร็จจริงๆ ก็ตอนชั้น ม.6 นั้นก็เพราะเมื่อมีความรู้ที่พิสูจน์ว่าดีกว่าครั้งเก่า ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป”พิชิตพล มุ่งเกษม หรือ “มอส” 1 ใน 4 สมาชิกกลุ่มโครงงานนี้บอก”มอส” เล่าว่า ในชุมชนที่เขาอาศัยมีการลอกถั่วลิสงเพื่อไปจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่เดิมการใช้มือลอกและไม่จัดเก็บให้ดีย่อมสร้างความสกปรกในผลผลิต และเกิดโรคทางเดินหายใจจากการหายใจนำเศษเปลือกเข้าร่างกาย

 

          “พวกเราเริ่มจากการไปค้นคว้าที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จึงได้มาซึ่งหลักการเสียดสีของวัสดุให้เปลือกถั่วลิสงหลุดออก พร้อมกับจัดเก็บเปลือกและผลิตผลที่ถูกสุขลักษณะ แต่ที่เป็นปัญหาคือวัสดุที่ใช้มาเสียดสีกันนั้นควรจะเป็นอะไรกันแน่ ที่จะทำให้เหยื่อหุ้มถั่วลอกดีที่สุด ขณะเดียวกันตัวเมล็ดก็ต้องสมบูรณ์ด้วย พวกเราลองใช้ทั้งคู่วัสดุเสียดสี ทั้งคู่สก็อตไบร์ท-สก็อตไบร์ท และไม้ไผ่สาน-ผ้าใยสังเคราะห์ ก่อนจะสรุปว่าที่ดีที่สุดคือพลาสติคสานกับผ้าใยสังเคราะห์เนื่องจากได้ผลที่ดีที่สุดและทนทานที่สุด”มอสเล่าถึงประสบการณ์การทำโครงงานที่ใช้เวลากว่าครึ่งในชั้นเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

 

          วิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่ว่า จึงเป็นเรื่องที่จับต้องได้จริงๆการทำโครงงานวิทยาศาสตร์พ่วงความรู้สึกกลุ้มใจยังคงเป็นจริงหากแต่เมื่อผลลัพธ์ของการเรียนได้ถูกนำไปใช้จริงอย่างเป็นรูปธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีได้ด้วยองค์ความรู้จากความเพียรพยายาม

 

          อย่างน้อยๆ โครงงานวิทยาศาสตร์คงไม่ใช่เรื่องที่ต้องถอยห่างเป็นแน่

 

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

 

 

 

update: 29-06-53

อัพเดตเนื้อหาโดย: คมสัน ไชยองค์การ

 

Shares:
QR Code :
QR Code