‘ถนน’ แบบไหน? ที่ไม่มีจุดเสี่ยง
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
"32 คน ต่อ 100,000 คน" มองเผินๆ อาจเป็นตัวเลขที่ไม่น่าตกใจนัก แต่หากเสริมข้อมูลเพิ่มว่า นั่นคือจำนวนชีวิตคนไทยที่ต้องสังเวยบนท้องถนนในแต่ละปีล่ะ พอจะสะดุ้งสะเทือนความคิดบ้างหรือไม่?
อีกเพียงเดือนกว่าๆ ก็จะสิ้นปี 2561 ซึ่งเป็นธรรมเนียมปกติของคนไทยไปแล้ว ที่ต้องใช้ชีวิตบนท้องถนน "เดินทาง" ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว เพื่อกลับบ้านเกิด ภูมิลำเนา หรือเพื่อการท่องเที่ยว
หลังๆ จึงดูเหมือนคนไทยจะใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนยาวนานมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงหยุดยาวเช่นนี้ สิ่งที่ตามมาคือ ทำให้แต่ละปี มีการรายงานเรื่อง 7 วันอันตรายแทรกปรากฏในพื้นที่สื่อถี่จนชาชิน
"อุบัติเหตุทางถนน" จัดอยู่ใน 10 ประเภทของอุบัติเหตุที่เกิดโดยไม่ตั้งใจ และเป็นสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้ประชากรไทยต้องเสียชีวิตก่อนถึงวัยอันควร
และรู้หรือไม่ว่า 90% ของการเกิดอุบัติเหตุ มีสาเหตุมาจาก "พฤติกรรมคน" ที่ควบคุมได้ยาก
แต่แม้วันนี้เรายังไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมคนไทยให้ดีขึ้นกว่านี้ได้ หากในมิติอื่นๆ ก็จำเป็นต้องมองหามาตรการใหม่ๆ ที่เข้ามาช่วยกระจายความเสี่ยง เพื่อลดปัญหา "เจ็บ ตาย บนถนน" ที่เรื้อรัง ในสังคมไทยมาหลายสิบปี
รถ คน ถนน = อุบัติเหตุ
หากพิจารณาทั้งรถ คน และถนน แน่นอนว่าสาเหตุหลักของอุบัติเหตุคือ "คน"
แต่อีกข้อมูล ที่สะท้อนจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้าง รศ.ดร.เกษม ชูจารุกุล รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ความเห็นอีกมุมมองว่า แม้เรื่องพฤติกรรมคนเป็นปัญหาบ้านเรา แต่หากมีการนำประโยชน์ในแง่วิศวกรรมหรือโครงสร้าง ตามหลักการออกแบบถนน สมัยใหม่ ในคอนเสปท์ของ "ถนนที่ให้อภัย" หรือ forgiving road มาใช้ ก็เป็นการบรรเทา "ความเออเร่อร์" ของคนเดินทางบนถนนและ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้มากขึ้น รวมไปถึงลดความรุนแรงของอุบัติเหตุลงได้
"ยกตัวอย่างจากมีผู้เสียชีวิตอาจลดความรุนแรงเหลือแค่บาดเจ็บ หรือบาดเจ็บ อาจลดลง เหลือแค่ทรัพย์สินเสียหาย เป็นต้น ซึ่งกรณีเหล่านี้ สามารถทำได้เพียงแค่การติดตั้ง อุปกรณ์ความปลอดภัย ณ จุดเสี่ยง เพื่อป้องกันรถตกถนน" รศ.ดร.เกษมกล่าวต่อว่า
"อีกประเด็นสำคัญคือ เมืองไทยมีปัญหาเยอะ เพราะออกแบบถนนเพื่อให้คนขับรถส่วนใหญ่ คนเดินทางเท้าต้องลำบาก เดินขึ้นบันไดข้ามสะพานลอย ถนนที่ออกแบบแล้วเน้นแต่ผู้ขับขี่รถยนต์เป็นหลัก เป็นถนนที่ไม่ถูกคอนเซปต์การออกแบบตามแนวคิดสมัยใหม่ ที่ชี้ชัดว่าทุกคนต้องมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็น ผู้ขับรถยนต์ คนเดินทางเท้า ดังนั้นต่อไปควรมีการพิจารณาเรื่องผู้ใช้หรือผู้ขับขี่ทุกมิติร่วมด้วย เป็นแนวคิดหลักในการออกแบบถนนให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น"
รู้จัก IRAP
ภายในงานประชุมระดับโลกว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บและการส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13 (Safety 2018 – The 13 th World Conference on Injury Prevention and Safety Promotion) จัดโดย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับองค์การอนามัยโลก (WHO) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงมีการแถลงความร่วมมือระหว่าง คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับองค์กร จัดทำโปรแกรมประเมินสภาพทางถนนนานาชาติ (International Road Assessment Programme) หรือ iRAP เพื่อผสานความร่วมมือในการพัฒนาระบบประเมินถนนสร้างมาตรฐานของถนนในประเทศไทย โดยจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ ThaiRAP ขึ้น
ศูนย์ดังกล่าวเป็น 1 ใน 10 แห่งของโลก ที่จะเป็นศูนย์กลางในการให้คำแนะนำด้านเทคนิคเกี่ยวกับความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานทางถนน เพื่อสนับสนุนและผลักดันมาตรฐานความปลอดภัย ทางถนนในประเทศไทยสู่ระดับสากล โดยมีภารกิจหลักที่สำคัญคือ "การประเมินถนนในประเทศไทยให้ติดดาวตาม มาตรฐานสากล"
"แนวคิดหลักของ iRAP คือการประเมินมาตรฐานคุณภาพถนน โดยให้คะแนนเป็นระดับดาว คล้ายคลึงกับการประเมินคุณภาพโรงแรม ดังนั้น ถนนห้าดาว คือถนนที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดหรือปลอดภัยที่สุด ส่วนมาตรฐานถนนทั่วไป ที่ปลอดภัยควรได้ไม่น้อยกว่าสามดาว" ร็อบ แม็คอินเนอร์นี่ย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารองค์กร iRAP เล่าถึงบทบาทการทำงานของ iRAP แบบคร่าวๆ
โดยกล่าวต่อว่าที่ผ่านมา iRAP มีสมาชิกที่เข้ารับการประเมินทั่วโลกแล้ว กว่า 100 ประเทศ ซึ่งหลายประเทศที่มีความตื่นตัวและสนใจในการจัดประเมินมาตรฐานดังกล่าว เพราะมองเห็นว่าเป็นแนวทางและองค์ความรู้ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยชีวิตคนบนท้องถนนได้
"ในมาเลเซีย มีหน่วยงานภาครัฐได้กำหนดค่าเป้าหมายในปี 2020 ที่การเดินทาง บนถนนในมาเลเซียทั้งหมดจะต้องมี ค่าคะแนนมาตรฐานคือไม่ต่ำกว่า 3 ดาว ร้อยละ 75 ขึ้นไป ในจีน มีความร่วมมือกับรัฐ เพื่อประเมินถนนในจีนไปแล้วกว่า 200,000 กิโลเมตร เป็นต้น"
จุดเริ่ม ThaiRAP
สำหรับไทยเป็นหนึ่งพันธมิตรของ iRAP ซึ่งในการดำเนินการในประเทศไทยสองสามปีที่ผ่านมา หน่วยงานได้รับความสำเร็จในแง่การประเมินถนน จากความร่วมมือจากกรมทางหลวง กรุงเทพมหานคร และกรมทางหลวงชนบท ซึ่งมีการนำร่องประเมินถนนในเฟสที่ 1 ไปเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ถนนเยาวราช สีลมและสุขุมวิท ซึ่งจากการประเมินพบว่าเกือบครึ่งหนึ่ง ของถนนในกรุงเทพมหานครมีระดับแค่1 – 2 ดาวเท่านั้นสำหรับคนขับรถ ส่วนจักรยานและจักรยานยนต์ยิ่งกว่านั้นอีก เพราะ 80-90% อยู่ในเกณฑ์แค่ 2 ดาว
ด้าน รศ.ดร.เกษม ช่วยเสริมว่า "ปัจจุบันเรามีคนที่เสียชีวิต จากอุบัติเหตุ 20,000 กว่าคน แต่หากเรายอมลงทุนเพียง 0.1% ของ GDP ประเทศในแต่ละปี เราจะสามารถช่วยชีวิตคนได้มากกว่า 30% หรือเกือบหมื่นคน ซึ่งหากวิเคราะห์ในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ค่า benefit cost ratio อยู่ที่ 34 ต่อ 1 แปลว่า เราลงทุน 1 บาทเราจะได้ผลประโยชน์ กลับคืนมา 34 บาท ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทำให้มีปัญหาต่างๆ ลดลง ซึ่งทุกชีวิตมีค่า แม้กระทั่งหนึ่งชีวิตเป็นสิ่งที่เราควรทำ"
จากเป้าหมายขององค์การสหประชาชาติที่ต้องการให้ถนนที่สร้างใหม่ ปี 2030 เป็นต้นไปจะต้องเป็นถนนที่ปลอดภัย คือได้คะแนนสามดาวขึ้นไป ซึ่งไทยแม้จะมีหน่วยงานตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยบนถนนแต่ใช้เกณฑ์วัด ต่างกัน ซึ่งการนำระบบติดดาวของ iRAP จะช่วยให้มีความเป็นสากลและมาตรฐานเดียวกันมากขึ้น แต่นอกจากการติดดาวแล้ว iRAP ยังมีงานวิจัยรองรับจำนวนมากเพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางปรับปรุงถนน ที่เหมาะสมในแต่ละเส้นทาง
"ในการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ มีบทบาทถึงการตั้งศูนย์วิเคราะห์วิจัยในเรื่องความปลอดภัยทางถนน ที่เป็นของประเทศไทยเอง โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์เป็นปัญหาสำคัญของไทย ที่อาจไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ ดังนั้น การตั้ง Thai RAP จะเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงานเรื่องการ แก้ปัญหาทางท้องถนนทั่วโลกด้วย ซึ่งทำให้ มีผู้เชี่ยวชาญ เป็นของคนไทยทุกคน ที่มาร่วมกันแก้ปัญหา หาทางแก้ในมิติของประเทศไทย" ซีอีโอ iRAP กล่าว
สำหรับในการจะประเมินติดดาว iRAP ถนนทุกเส้นต้องผ่านการประเมินในทุกๆ 100 เมตรของถนน และต้องพิจารณาตัวแปรที่เกี่ยวกับกายภาพถนน ซึ่งมี ไม่น้อยกว่า 50 ตัวแปร เช่น ความกว้างช่องจราจร การขีดสีตีเส้น ความปลอดภัยสองข้างทาง ไฟฟ้าแสงสว่าง เรื่องคนเดินเท้า จำนวนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ เป็นต้น โดยในการประเมินติดดาวของ iRAP จะมีการประเมินผู้ใช้ 4 กลุ่ม คือกลุ่มรถยนต์ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ กลุ่มผู้ขี่จักรยาน และ กลุ่มคนเดินเท้า
อีกประเด็นปัญหาเรื่องความเร็ว รศ.ดร.เกษม เอ่ยยอมรับว่า อุบัติเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความเร็วและยังทำให้อุบัติเหตุที่เกิดมีความรุนแรงค่อนข้างสูง
"เราเคยจำลองสถานการณ์ว่าถ้าลดสปีดต่ำลงจะพบว่าคะแนนดาวที่ได้จะสูงขึ้น"
ซึ่งเขาบอกว่าถนนที่ออกแบบได้ระดับห้าดาวสำหรับผู้ขับรถยนต์ อาจเป็นถนนที่ไม่ดีสำหรับผู้เดินเท้าได้
"แต่เป้าหมายเราคือต้องการเห็น สามดาวสำหรับทุกกลุ่มผู้ใช้"
พร้อมกันนี้ รศ.ดร.เกษม ยกตัวอย่าง ในเส้นสุขุมวิท มีคนเดินเท้าค่อนข้างเยอะ แต่หลายกรณีมีมอเตอร์ไซค์ที่มาวิ่งบนถนนด้วย ซึ่งสามารถสร้างสิ่งกีดขวางให้รถไม่สามารถขึ้นมาได้ หรือการข้ามถนนที่ปกติคนไทยมักไม่ข้ามถนนทางม้าลาย หากทำรั้วกั้นและจัดบริเวณที่ควรข้ามก็จะเป็นการแก้ไขได้ทางหนึ่ง
"ที่เยาวราช ประสบความสำเร็จอย่างสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของผู้เดินทาง ซึ่งเดิมมีความเสี่ยงสูงมาก แต่หลังการประเมินและปรับปรุงจุดที่มีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุสูง เราสามารถที่จะเพิ่มระดับ ความปลอดภัยผู้เดินเท้าจากระดับ 1 ดาว เป็น 5 ดาว
เช่นเดียวกับที่ภูเก็ต ที่เรานำร่องดำเนินการ โดยได้รับการสนับสนุนจากทาง สสส. ให้มีการประเมินถนนในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งพบว่ามีความเสี่ยงสูงมากสำหรับคนเดินเท้าแต่ปัจจุบันได้มีการดำเนินการแก้ไขปรับถนนให้มีความปลอดภัยสำหรับทุกคนยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการแก้ที่เราเสนอไป บางทีไม่ต้องจำเป็นต้องใช้งบเยอะแต่มีการพิสูจน์ว่าทำแล้วเวิร์คจริงลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ"
หลังการนำร่องในเฟสแรกในพื้นที่ เขตเมืองคือเยาวราช สีลมและสุขุมวิทไปแล้ว ทางศูนย์จะดำเนินการ เลือก 6 เขต ที่มีความเสี่ยงสูงสุดในกรุงเทพมหานครในเฟสสอง รวมถึงเส้นทางถนนพระราม 2 จากกรุงเทพฯ ไปยังหัวหินที่มีผู้ใช้รถและอุบัติเหตุสูงต่อไป