ต้อหิน ภัยเงียบที่น่ากลัว
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า
แฟ้มภาพ
จากสถานการณ์ผู้ป่วยโรคต้อหินและโรคตาบอดที่เกิดจากต้อหินในประเทศไทย มีผู้ป่วยแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ซึ่งถือได้ว่าเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่ใหญ่มาก ที่น่ากลัวก็คือมากกว่า 80% ของผู้ป่วยที่เป็นต้อหิน ไม่ทราบมาก่อนว่าตนเองเป็นโรคต้อหิน และนอกจากนี้ ผู้ป่วย 9 ใน 10 ราย มักไม่มีอาการแสดง กว่าจะรู้ตัวและตรวจพบ เส้นประสาทตาก็ถูกทำลายไปมากแล้ว ส่วนมากพบในผู้หญิงที่มีอายุ 40 ขึ้นไป มากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า
นายแพทย์บุญส่ง วนิชเวชารุ่งเรืองนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านจักษุวิทยาฯ โรงพยาบาลราชวิถี เปิดเผยว่า โรคต้อหิน (Glaucoma) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของขั้วประสาทตาที่มีเส้นใยประสาทนับล้านเส้นเกิดความเสียหาย และความดันในลูกตาสูงผิดปกติ จนส่งผลทำลายเส้นใยประสาทซึ่งมีหน้าที่ในการส่งข้อมูลเกี่ยวกับการมองเห็นจากลูกตาไปยังสมองเพื่อทำการประมวลเป็นภาพ ส่งผลให้ผู้ป่วยสูญเสียลานตาและการมองเห็นได้
โรคต้อหินชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด คือต้อหินชนิดเรื้อรัง (Chronicglaucoma) หรือ ต้อหินปฐมภูมิ(Primary glaucoma) โดยจะสูญเสียการมองเห็นบริเวณรอบนอกของลานสายตา การมองเห็นจะแคบลงจนเสมือนมองผ่านท่อ เมื่อเกิดจุดบอดขึ้นในลานสายตาของผู้ป่วยและขยายตัวขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีขอบเขตในการมองเห็นแคบลง หากรักษาไม่ทันการณ์ ผู้ป่วยอาจสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ และต้อหินอีกชนิดที่พบได้น้อยกว่า คือ ต้อหินชนิดเฉียบพลัน (Acute angle closure glaucoma) ซึ่งจะทำให้ตามัวลง ตาแดง มีอาการปวดตาอย่างรุนแรง เนื่องจากความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน คือ 1.อายุที่มากกว่า 40 ปี2.ความดันในลูกตาสูง 3.ประวัติครอบครัวที่เคยเป็นโรคต้อหิน 4.สายตาสั้นมากหรือยาวมาก 5.ที่เป็นโรคเบาหวานโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง 6.ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน7.เคยได้รับอุบัติเหตุที่ลูกตามาก่อน โดยการรักษาโรคต้อหินนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากโรคนี้ทำให้ประสาทตาถูกทำลายอย่างถาวร การรักษาจึงทำได้เพียงประคับประคองเพื่อไม่ให้ประสาทถูกทำลายไปมากกว่าเดิมและคงการมองเห็นของผู้ป่วยให้นานที่สุด
วิธีการรักษาโรคต้อหิน ปัจจุบันจะมีด้วยกัน 3วิธี ดังนี้ 1.การรักษาด้วยยา เพื่อลดความดันตาให้อยู่ในระดับที่ประสาทตาไม่ถูกทำลายมากขึ้น โดยผู้ป่วยจำเป็นต้องหยอดยาอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง และตรวจอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามผล และป้องกันผลข้างเคียงจากยา 2.การรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ โดยประเภทของเลเซอร์จะขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหินและระยะของโรคที่เป็นของผู้ป่วย 3.การรักษาด้วยการผ่าตัด เป็นการผ่าตัดทำทางระบายสำหรับน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาใหม่เพื่อลดความดันในตา ใช้รักษาในกรณีที่การรักษาด้วย 2 วิธีแรกไม่สามารถควบคุมความดันของดวงตาได้
หลังจากทำการรักษาแล้วผู้ป่วยต้องดูแลตัวเองด้วยการใช้ผ้าปิดตาประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยให้ญาติหรือผู้ดูแลเช็ดตาข้างที่ผ่าตัดอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ขณะอาบน้ำระวังไม่ให้น้ำเข้าตา ระมัดระวังไม่ให้ฝุ่นละอองเข้าตาและห้ามขยี้ตาโดยเด็ดขาด และมาตรวจติดตามผลการรักษาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และเมื่อสามารถเปิดผ้าปิดแผลได้แล้วควรดูแลตัวเอง ด้วยการสวมแว่นตากันแดดเมื่อออกกลางแจ้งรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้สีต่างๆ โดยเปลี่ยนชนิดของอาหารให้หลากหลายอยู่เสมอ (หรืออาจทานวิตามินบีรวมในรายที่ไม่สามารถทานผักผลไม้ได้) ป้องกันและควบคุมโรคประจำตัวให้ดี โดยเฉพาะโรคที่จะสร้างปัญหาให้กับตา เช่นเบาหวานความดันโลหิตไขมันสูง และหากมีความผิดปกติกับดวงตา ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที