ต้อนรับปีใหม่ 2556 ให้ธรรมนำทาง ประสบแต่สิ่งดี
เสร็จสิ้นลงไปแล้ว สำหรับกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี เริ่มต้นดี ชีวิตดี” ครั้งที่ 3 ณ ท้องสนามหลวงในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา ว่ากันว่าการเริ่มต้นดี ย่อมนำมาซึ่งสิ่งดีๆ อีกมากมายในชีวิต แต่ใช่ว่าการเริ่มต้นดีเพียงอย่างเดียว จะเพียงพอแก่การก้าวไปสู่ปลายทางได้ด้วยดีและเป็นสุข ทีมเว็บไซต์จึงขอเก็บตกธรรมะในค่ำคืนนั้นมาเป็นเครื่องเตือนใจและแนวทางปฏิบัติตนในระหว่างทางของชีวิตปี 2556 นี้ด้วย
เริ่มต้นที่ พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต แห่ง วัดสร้อยทอง ให้โอวาทถึงการสวดมนต์ไว้ว่า จะช่วยให้ชีวิตดีได้เพราะเป็นการปฏิบัติดีทั้งทางกาย วาจา ใจ อันเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งมงคลทั้งหลายในชีวิต มากไปกว่านั้น จุดเริ่มต้นของพรอันประเสริฐอยู่ที่การกระทำของตนเองว่า เริ่มต้นพูดดี คิดดี และทำดีแล้วหรือยัง
“เกิดเป็นคนแล้วอย่าให้แพ้ดอกไม้งาม ที่ใครเห็นก็ชื่นใจ ชื่นชม และอยากจะถ่ายภาพเก็บไว้ ชีวิตของดอกไม้ อยู่ได้ไม่นานก็เฉาและร่วงโรย แต่ชีวิตของคนยืนยาวและมีเวลามากกว่าดอกไม้ ฉะนั้นจะทำอะไรจึงควรไตร่ตรองเสียให้รอบคอบ ว่าสร้างความสุข ความชื่นใจแก่กันหรือไม่ วันนี้มีเวลาทบทวนตัวเองรู้ว่าสิ่งไหนต้องปรับปรุง ก็แก้ไขเสียใหม่ รู้ว่าอะไรควรทำ ก็ทำเสียให้เสร็จ หรือหากรู้สึกว่าตัวเองลำบากในช่วงเวลาของปีเก่า อย่าลืมว่ายังมีอีกหลายชีวิตที่ลำบากกว่าเรา เขายังฝ่าฝันกันมาได้ เราก็ต้องได้ หรือถ้ารู้สึกว่าผิดหวังเสียใจในเรื่องอะไรก็ตาม ร้องให้ได้ แต่ควรจะต้องเข้มแข็งให้ไว เพราะคนแท้ไม่ท้อ คนท้อไม่แท้”
พร้อมทั้งบรรยายธรรมเป็นแนวทางให้แก่ผู้ที่อยากจะประสบความสำเร็จว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสสั่งสอนไว้แล้วว่าให้ยึดหลักอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ ใส่ใจใฝ่เรียนรู้ วิริยะ เพียรสู้ไม่ท้อถอย จิตตะ ใส่ใจไม่เลื่อนลอย วิมังสา ปรับปรุงและพัฒนาตน ปัจจุบันถ้าเราทำดีแล้ว อนาคตย่อมดีแน่
ด้าน แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต จาก เสถียรธรรมสถาน แสดงธรรมให้แง่คิดว่า โดยปกติแล้วคนเราไม่ได้ทุกข์เพราะความไม่ดีของคนอื่น แต่เราทุกข์เพราะเราคิดอย่างไรกับสิ่งนั้น ซึ่งหากมองโลกอย่างที่โลกเป็น พร้อมทั้งอยู่กับโลกอย่างเข้าใจโลก เราก็จะไม่เป็นทุกข์
“เมื่อตั้งมั่นว่าจะเริ่มต้นชีวิตที่ดีในวันนี้ เราก็จะใช้ชีวิตอย่างปิดประตูให้พ้นจากห้วงทุกข์ พร้อมทำกุศลให้ถึงพร้อม รักษาใจของเรา รู้ทันกาย รู้ทันใจ หากเรามองว่ามนุษย์ทุกคนเหมือนญาติ ไม่มีใครควรค่าแก่ความเกลียดชัง เมื่อหัวใจมีรัก เราก็จะไม่ปล่อยให้หัวใจของเราจมอยู่แต่กับอคติ ถ้าอวิชชาไม่มี ทุกข์จะมีได้อย่างไร
และหากมองว่าพระธรรมคือสิ่งที่จะเกื้อกูลชีวิตของเรา จิตย่อมจะไม่ขุ่นมัว และอยู่กับโลกได้อย่างไม่เปื้อนโลก การมีหนึ่งลมหายใจแห่งสติ มีมโนกรรมสุจริต เพื่อจะเปลี่ยนแปลงตน เปลี่ยนแปลงโลก ชีวิตย่อมห่างไกลจากกิเลส” แม่ชีกล่าว
ต่อกันที่การฉายวิทีอาร์ พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย แนะคำสอนของพระพุทธองค์ให้สาธุชนยึดเป็นเข็มทิศนำทางชีวิต ด้วยหลัก 4 ประการที่ทำให้ชีวิตมีความสุขคือ
1.อย่าเอาทุกข์มาทับถมตนที่ไม่มีทุกข์
2.แสวงหาความสุขอันชอบธรรม
3.ในความสุขอันชอบทำก็ไม่หลงติด
4.เพียรพัฒนาจิตให้ประณีตยิ่งๆ ขึ้นไป
โดย พระมหาวุฒิชัย อธิบายถึงหลักแต่ละข้อว่า “ชีวิตของเราทุกคนไม่ได้มีทุกข์มากมาย หากต้องการเพียงปัจจัย 4 ซึ่งเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตเท่านั้น แต่หากมนุษย์ไม่เข้าใจ เอาแต่วิ่งไล่ตามความอยากอันไร้ขีดจำกัด ก็จะทำให้เกิดความทุกข์เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน หากเรามุ่งสนองเพียงความต้องการพื้นฐานของชีวิต ชีวิตก็เป็นเรื่องง่าย ไร้ทุกข์ ไม่จำเป็นต้องเอาทุกข์มาทับถมตนที่ไม่มีทุกข์
ถ้าอยากมีความสุข ก็ให้มุ่งหาความสุขอันชอบธรรม ได้แก่ ความสุขที่ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ได้มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น หรือบนความทุกข์ของตัวเอง เช่น ความสุขที่เกิดจากการติดอบายมุข เกิดจากการประทุษร้ายตัวเองด้วยการไม่รู้จักพักผ่อนให้พอเหมาะพอดี หรือเป็นความสุขที่ได้มาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เช่น การทำลาย ข่มเหง เบียดบังคนอื่นแล้วทำให้ตัวเองมีความสุข ความสุขเหล่านี้เป็นความสุขร้อน ไม่ใช่ความสุขเย็น”
นอกจากนี้ ยามใดที่พบความสุขอันชอบธรรมแล้ว แต่หลงยึดติดในสุขนั้นเกินพอดี ระวังความสุขจะพลิกเป็นความทุกข์ เพราะสิ่งใดๆ ก็ตามที่ไม่ตั้งมั่นอยู่บนทางสายกลาง ล้วนไม่ใช่ทางแห่งความหลุดพ้น
พระนักเทศน์ชื่อดัง ขยายธรรมแก่พุทธศาสนิกชนต่อว่า “บางคนมีความสุขในการนั่งสมาธิภาวนา กลับออกจากวัดมา ก็นั่งสมาธิทั้งคืนทั้งวัน ไม่สนใจครอบครัว ไม่สนใจหน้าที่การงาน หลงติดอยู่ในสมาธิสุข แม้จะเป็นสุขชอบธรรม แต่ผลที่ตามมาก็คือ ไม่รู้จักหน้าที่ ไม่มีความรับผิดชอบ บางคนมีความสุขกับการทำงานมาก ก็ต้องระวังว่าจะกลายเป็นมนุษย์บ้างาน ไม่พักผ่อนกินข้าวตรงตามเวลา แม้งานจะได้ผลแต่คนไม่เป็นสุข เป็นเหตุให้เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ไม่ถูกต้อง ฉะนั้นจึงต้องระมัดระวังว่าอย่าให้ความสุขจากการกระทำมาดูดเราเข้าไปในหลุมดำแห่งความสุข
เมื่อมีความสุขจากประการที่ 1 ถึง 3 แล้วตามลำดับ ก็สมควรแก่การพัฒนาจิตให้ประณีตยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะที่สุดของความสุข ควรเป็นสุขที่เกิดจากจิตที่บริสุทธิ์ ถ้าเรายังยึดมั่นอยู่ในความสุขทางกาย ความสุขเช่นนั้นก็เปรียบเสมือนน้ำผึ้งขมบนมีดโกน ยังไม่ปลอดภัยแท้จริง จึงต้องพัฒนาจิตให้บริสุทธิ์หลุดจากความโลภ โกรธ หลง เพื่อพบกับความสุขแท้ที่เป็นไท เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ทุกข์ เพราะกายป่วยแต่ใจไม่ป่วย สภาพแวดล้อมไม่ดีก็ไม่ทุกข์ เพราะจิตของเรามีอานุภาพเหนือสภาพแวดล้อม ทีนี้ต่อให้ใครก็ตามมาทำร้ายหรือข่มเหงรังแก จิตที่ฝึกดีแล้วก็เหมือนดวงมณีซึ่งประดิษฐานอยู่บนเกาะที่ปลอดภัย ผู้ไกลจากกิเลสอยู่ที่ไหน สถานที่นั้นไซร้ คือสถานอันรื่นรมย์” พระมหาวุฒิชัยกล่าว
ดังเช่นพุทธสุภาษิตที่ว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี ธรรมนั้นแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม และด้วยการปฏิบัติชอบในธรรมเป็นประจำนี้เอง ย่อมนำพาชีวิตให้รุ่งเรืองและเป็นสุข …
เรื่องโดย ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ Team Content www.thaihealth.or.th