ตามไปดู “บ้านหนองโรง” ชุมชนต้นแบบ เข้มแข็งจากฐานราก
ณ “บ้านหนองโรง” ชาวบ้านได้ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญญา ทั้ง พิทักษ์ป่า อนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น จัดสวัสดิการชุมชน ปลูกฝังเยาวชนรักบ้านเกิดจนเกิดเป็น “ต้นแบบชุมชนเข้มแข็งและน่าอยู่”
จากข้อจำกัดด้านงบประมาณ รวมถึงบุคลากรจากภาครัฐ การหนุนเสริมให้ “ชุมชนท้องถิ่น” ถือเป็นฐานรากที่สำคัญของประเทศ มีความเข้มแข็งและรู้เท่าทันสังคมอาจต้องใช้เวลานาน ข้อจำกัดได้นำไปสู่การรวมตัวของคนในชุมชน ที่ร่วมกันคิด ร่วมกันกำหนดทิศทางการพัฒนา โดยมีจุดหมายร่วมกันคือ “ชุมชนต้องน่าอยู่อย่างยั่งยืน”
โมเดลที่น่าสนใจคือ “ชุมชนบ้านหนองโรง” ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ที่ทำขึ้นจนประสบความสำเร็จ และในปัจจุบัน ชุมชนแห่งนี้ ได้ถูกยกเป็น ศูนย์เรียนรู้ชุมชนน่าอยู่ สนับสนุนโดย สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีชุมชนท้องถิ่นใกล้เคียง ร่วมเป็นภาคีเครือข่ายเรียนรู้กว่า 20 ตำบล
ก่อนที่บ้านหนองโรงจะเป็นชุมชนเข้มแข็งได้ทุกวันนี้ “นายกนะจ๊ะ” หรือ นายสุวรรณวิชช์ เปรมปรีดิ์ นายก อบต.หนองโรง ได้ย้อนอดีตให้ฟังว่า เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของตำบลเราเป็นพื้นที่ป่า ปัญหาสำคัญที่เจอคือปัญหาการบุกรุกป่าชุมชนของนายทุน เพื่อมาทำไร่มันสำปะหลัง และไร่อ้อย จากเมื่อ 20 ปีก่อนมีกว่า 7 พันไร่ จนขณะนี้เหลือเพียง 1 พันไร่เศษเท่านั้น ไม่เท่านั้นยังเกิดปัญหา เรื่องสารเคมีจากการเกษตรปนเปื้อนในแหล่งน้ำด้วย น้ำกิน น้ำใช้ ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้
“หากเรารอและแบมือขอความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว เกรงว่าจะไม่ทันการณ์ ป่าชุมชนก็จะหมด ปัญหาเกิดการสะสม ท้ายสุดก็จะไม่สามารถแก้ไขได้” นายกนะจ๊ะอธิบายความ
นายกอบต.บ้านหนองโรง อธิบายต่อว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้น เราจึงได้ขอความคิดเห็นจากชาวบ้าน พร้อมเล่าถึงปัญหาสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งชาวบ้านก็เห็นด้วย เพราะส่งผลโดยตรงต่อการใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขา อย่างเช่น น้ำในแหล่งน้ำชุมชน ที่เคยใช้ได้ก็ไม่สามรถใช้ได้ เนื่องจากปนเปื้อนสารพิษ รวมถึงของป่าอาทิ พืชสมุนไพร เห็ดป่า ที่เคยหาได้อย่างเมื่อก่อน ก็ลดลงอย่างน่าใจหาย
เมื่อชาวบ้านเขาเห็นด้วยกับเรา เราจึงคิดแผนการดำเนินการว่าจะรักษาป่าชุมชนอย่างไร โดยเริ่มการหาจุดศูนย์กลางหรือจุดนัดพบต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้พวกเขาเสียก่อน โดยหนองโรงเลือกใช้ “ป่าชุมชนบ้านห้วยสะพาน” เป็นศูนย์กลางของการขับเคลื่อน เพราะชาวบ้านที่นี่มีความผูกพันและคุ้นเคยกับป่าชุมชนแห่งนี้
จากนั้นมาตั้งเป็นเวทีเสวนาชาวบ้าน มารับรู้ถึงปัญหา และแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดซึ่งกันและกันโดยใช้แนวทางเรื่องการอนุรักษ์และรักษาป่าชุมชนเป็นตัวนำ ที่มีตั้งแต่ ระบบการจัดการป่าและสิ่งแวดล้อม โดยมีการตั้งคณะกรรมการที่มาจากชาวบ้าน มาออกกฎระเบียบอาทิ ถ้าตัดไม้จะต้องเสียค่าปรับตั้งแต่ 1 พันบาทขึ้นไป โดยดูที่ขนาด หรือหากจะจับสัตว์ โดยเฉพาะแย้ ที่มีอย่างมากมาย ก็ควรจับแต่พอกิน ไม่ขุดรูที่อาศัยของแย้ ใช้เฉพาะอุปกรณ์จับดักเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีระบบอาสาสมัครพิทักษ์ป่า ที่ออกลาดตระเวนทุกเดือน แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีปัญหาการลักลอบตัดไม้แล้ว เราจึงใช้ชาวบ้านที่เลี้ยงวัวในพื้นที่รอบป่า มาเป็นอาสาสมัครแทน เมื่อพวกเขาเห็นคนแปลกหน้าเข้ามายังพื้นที่ป่า เขาก็จะแจ้งให้คณะกรรมการป่าชุมชนรับทราบทันที
พร้อมกันนี้ยังส่งเสริมปลุกฝังการอนุรักษ์ตั้งแต่ระดับเยาวชน โดยมีการตั้งกลุ่มทำกิจกรรมกับคณะกรรมการ ที่มีทั้งการปลูกป่า การเป็นมัคคุเทศก์น้อยป่าชุมชน ที่เป็นทั้งวิทยากร และฐานความรู้เคลื่อนที่ ที่สามารถบอกได้ว่า ต้นไม้ชนิดนี้พันธุ์อะไร มีสรรพคุณทางยาอย่างไร จนได้รับรางวัล ลูกโลกสีเขียวเมื่อปี 2549 มาแล้ว
นายกนะจ๊ะ ยังเล่าถึงกระบวนการต่อยอดจากระบบการจัดการป่าชุมชนว่า เมื่อการอนุรักษ์ป่าชุมชน ได้ผลเห็นเป็นรูปธรรม จากนั้นเราก็มาระดมความเห็นแลกเปลี่ยนความคิดกันอีกครั้ง โดยให้แต่ละชุมชนย่อย โดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้านแต่ละหมู่ ไปสำรวจปัญหาชุมชนของตัวเองว่ามีอะไรบ้าง กลายเป็นจุดขยาย นำไปสู่การรับรู้ถึงปัญหา
อาทิ เรื่องสวัสดิการชุมชน ที่คนส่วนใหญ่มักไม่มีเงินออม ปัญหาเรื่องปุ๋ย และสารเคมีกำจัดแมลงที่มีราคาสูง ปัญหาเรื่องประเพณีท้องถิ่นเช่น รำกลองยาว รำเคียว ไม่ได้รับการสานต่อ รวมถึง ปัญหาเยาวชน ที่ไม่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ หรือติดเกมส์เป็นต้น
จากนั้นจึงนำมาสู่การวางแผนเพื่อวางระบบในการแก้ไขปัญหา โดยเอามติในที่ประชุมมาจัดระบบเริ่มที่การวางระบบสวัสดิการชุมชน โดยส่งเสริมให้มีการออมวันละบาท ตั้งแต่เกิดถึงตาย การวางระบบการบริหารการจัดการตำบล ที่มีการส่งเสริมให้ความรู้ เรื่องการทำปุ๋ยหมักปุ๋ยอินทรีย์ การสกัดสารยาฆ่าแมลงที่ทำมาจากธรรมชาติ รวมถึงระบบอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่จัดทำเป็นศูนย์ฝึกรำกลองยาว รำเคียว ให้แก่เยาวชน เพื่อรู้จักการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
นายกนะจ๊ะ กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า บ้านหนองโรงกลายเป็นชุมชนเข้มแข็งและน่าอยู่ขึ้นมาได้ เกิดจากการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ที่รู้จักคิดประยุกต์ใช้ รู้จักต่อยอด อย่างเป็นระบบ จนทำให้บ้านหนองโรง มีต้นทุนทางสังคมที่สูง กลายเป็นต้นแบบชุมชนน่าอยู่จนถึงทุกวันนี้
แต่ถ้าเราไม่รู้จักคิด เราก็จะเป็นทาสทุน ไม่รู้เท่าทันสังคม กลายเป็นชุมชนท้องถิ่นที่อ่อนแอ
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน