ตั้งนักโภชนาการ ดูแลอาหารใน รร.

ที่มา : เว็บไซต์ไทยโพสต์ 


ภาพประกอบจากเว็บไซต์ไทยโพสต์ 


ตั้งนักโภชนาการ ดูแลอาหารใน รร.  thaihealth


จี้รัฐผลักดันตั้งนักโภชนาการประจำ รร.เหมือนประเทศญี่ปุ่น แก้ปัญหาคนไทยเตี้ย ส่วนสูงทั้งชาย-หญิงยังต่ำกว่าเป้าหมาย ชาย 180ซม., หญิง 170 ซม.


วันที่ 12 ก.ย. นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการโภชนาการที่ปรึกษากรมอนามัย และผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ในประเทศญี่ปุ่นจะมีนักโภชนาการประจำโรงเรียนแห่งละ 1 คน เพื่อทำหน้าที่ดูแลอาหารให้มีคุณภาพตามหลักโภชนาการเพื่อเสริมศักยภาพทางด้านร่างกาย และการเรียนการสอนของเด็กนักเรียน แต่สำหรับประเทศไทยนั้นตนได้พยายามขับเคลื่อนเรื่องนี้มานาน เพื่อให้มีนักโภชนาการอย่างน้อยอำเภอละ 1 คน หมุนเวียนไปให้ความรู้เรื่องโภชนาการที่ถูกต้องตามโรงเรียนต่างๆ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ดังกล่าว ล่าสุดตนได้หารือกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเพื่อดำเนินการเป็นโครงการนำร่องในการเอานักโภชนาการของโรงพยาบาลออกไปให้ความรู้เรื่องโภชนาการที่ถูกต้องแก่แม่ครัวและครูที่โรงเรียน ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็วๆ นี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการอบรมนักโภชนาการของโรงพยาบาลกว่า 30 คน เพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องการสื่อสารการให้ความรู้ในเรื่องเหล่านี้


นายสง่ากล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เมื่อเทียบเรื่องคุณภาพอาหารกลางวันของนักเรียนในปัจจุบันกับเมื่อ 10 ปีก่อนถือว่าดีขึ้นบ้าง มีการเพิ่มงบประมาณจาก 13 บาท เป็น 20 บาทต่อหัวประชากรนักเรียน คุณภาพของเมนูอาหารดีขึ้นบ้าง โดยมีผักเป็นส่วนประกอบในทุกมื้อ มีผลไม้ 2-3 มื้อต่อสัปดาห์ และลดเรื่องหวาน มัน เค็ม ลงบ้าง อีกทั้งบางโรงยังมีการใช้โปรแกรมคำนวณประเภทอาหารที่ควรทำในแต่ละมื้อในระยะเวลา 1 เดือน ของสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจนถึงวันนี้หากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังทำอยู่แค่นี้ ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องโภชนาการเด็ก ก็จะไม่สามารถบรรลุนโยบายที่จะเพิ่มศักยภาพเด็กไทยได้ในทุกด้าน ใน 10 ปีข้างหน้า ทั้งเรื่องสรีระที่ระบุว่าผู้ชายต้องสูงเฉลี่ย 180 เซนติเมตร ผู้หญิงต้องสูงเฉลี่ย 170 เซนติเมตร เพราะเรื่องโภชนาการเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าอาหารไม่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม ก็จะกระทบกับพัฒนาการทางด้านร่างกาย และการเรียนรู้ต่างๆ


ดังนั้น จึงเห็นว่ามีสิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันอยู่ 6 ประการ คือ 1.ให้มีนักโภชนาการประจำอยู่ทุกโรงเรียน 2.บุคลากรของโรงเรียนต้องได้รับการอบรมเพิ่มศักยภาพให้สามารถประกอบอาหารที่มีคุณภาพมากกว่านี้ 3.แต่ละโรงเรียน แต่ละจังหวัดต้องประกาศเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องเร่งทำ 4.เอาเรื่องการทำเกษตรเพื่ออาหารกลางวันเข้ามาในโรงเรียนเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว 5.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาลต้องมีส่วนร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ร่วมกับโรงเรียน ในการส่งเสริมให้นักเรียนในพื้นที่ได้รับประทานอาหารกลางวันที่มีคุณภาพ มากกว่าการเป็นหน่วยงานกลางที่รับงบประมาณจากกระทรวงมหาดไทย และไปส่งต่อที่โรงเรียนเท่านั้น และ 6.ดึงผู้ปกครองเข้ามาร่วมในการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารของนักเรียนให้ได้ โดยเฉพาะพฤติกรรมการรับประทานขนมกรุบกรอบต่างๆ ซึ่ง การปรับเปลี่ยนตรงนี้จำเป็นต้องได้รับการปลูกฝังจากที่โรงเรียนและที่บ้าน

Shares:
QR Code :
QR Code