ดึงพลังมหาวิทยาลัยปฏิรูปประเทศ ชูโมเดล “1ม.1จังหวัด”

          “หมอประเวศ” ดึงพลังมหาวิทยาลัยร่วมแก้วิกฤติชาติ ชูโมเดลปฏิรูปประเทศ “1มหาวิทยาลัยต่อ 1จังหวัด เปิด 3ข้อเสนอพลิกโฉมประเทศไทย

 

เมื่อวันที่ 2สิงหาคม ที่อิมแพคเมืองทองธานี มูลนิธิพัฒนาไท สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชนแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดเวทีระดมความเห็นเพื่อร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่ โดยมีผู้บริหารจากมหาวิทยาของรัฐ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฎ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และมหาวิทยาลัยเอกชน เข้าร่วมกว่า 150 คน 

 

ดึงพลังมหาวิทยาลัยปฏิรูปประเทศ ชูโมเดล “1ม.1จังหวัด”

นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ร่วมสร้างประเทศไทย:ปฏิบัติการโดยมหาวิทยาลัยเพื่อแก้วิกฤตชาติว่า มหาวิทยาลัยเป็นขุมพลังทางปัญญาขนาดใหญ่ที่สุด เรามีมหาวิทยาลัย 100 กว่าแห่ง มีนิสิตเป็นแสนคน มีนักวิจัย อาจารย์ และบุคลากรต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันวิกฤตชาติที่เป็นวิกฤตที่สุด มหาวิทยาลัยจะใช้พลังของตนในการแก้ไขวิกฤตชาติได้อย่างไร มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องพลิกมุมมองจากมุมมองจากทางวิชาการมาสู่มุมมองทางสังคม โดยมองจากข้างนอกเข้ามา จะเห็นเรื่องที่น่าทำไปหมด

 

นพ.ประเวศ กล่าวว่า จุดวิกฤตที่สุดในสังคมปัจจุบันคือ การขาดความเป็นธรรม ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากขาดความเป็นธรรมแล้ว คนจะแตกแยก ซึ่งในสังคมขาดความเป็นธรรมในทุกด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และมีความเหลื่อมล้ำ โดยช่องว่างของสังคมไทยระหว่างคนจนและคนรวยห่างกันถึง 15 เท่า ขณะที่ประเทศนอร์เวย์ มีช่องว่างห่างกัน 4 เท่า และไม่ต้องการห่างกันมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาอาชญากรรมมากขึ้น เพราะช่องว่างเหล่านี้จะสัมพันธ์กับตัวเลขอาชญากรรม ขณะที่ระบบบริการสาธารณสุขแม้จะมีโครงสร้างบริการทุกตำบล แต่ยังพบลูกคนจนตายมากกว่าลูกคนรวยถึง 3 เท่า

 

นพ.ประเวศ กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณของความรุนแรงมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งประกอบด้วย โครงสร้างทางจิตสำนึกที่ขาดความเป็นธรรมจึงต้องเปลี่ยนจิตสำนึกใหม่ โครงสร้างทางกฎหมายที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม โครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ต้องทำให้เกิดการเข้าถึงทรัพยากรและกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม โครงสร้างการพัฒนาประเทศที่จากเดิมเริ่มจากฐานข้างบนให้โตเพื่อกระเด็นลงข้างล่าง ทำให้เกิดช่องว่างและปัญหาเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงการเมืองที่มุ่งแต่ประชาธิปไตยระดับชาติ ซึ่งพัฒนามากว่า 80 ปี แต่ไม่สำเร็จ เพราะไม่มีฐาน ดังนั้นการพัฒนาต้องมาจากท้องถิ่น ซึ่งเป็นฐานรากของประเทศ เช่นเดียวกับโครงสร้างทางการศึกษาที่ทำแต่ข้างบน สอนให้คนจบปริญญาตรี แต่ไม่สร้างคนเพื่อความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นแบบบูรณาการและไม่ให้ความสำคัญกับอาชีวศึกษา ซึ่งในประเทศเยอรมันกลับให้ความสำคัญ เพราะเป็นการสร้างเศรษฐกิจที่สำคัญ ดังนั้นการจัดรูปใหม่ของโครงสร้างในการศึกษาจึงต้องทำ 3 ด้านคือ 1. ต้องสร้างจากชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน  2. สร้างอาชีวะศึกษา โดยให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมในระบบการศึกษา และที่เหลือคือการศึกษาเพื่อวิชาการ

           

ดึงพลังมหาวิทยาลัยปฏิรูปประเทศ ชูโมเดล “1ม.1จังหวัด”

ศ.นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า ตลอดการทำงานด้านการปฏิรูปประเทศมา 1 ปีครึ่ง ตนมีการประชุมระดมความคิดเห็นและสรุปได้ว่า สิ่งที่มหาวิทยาลัยต่างๆ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศ คือ การสร้างจิตสำนึกใหม่ที่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นหัวรถจักรสำคัญในการขับเคลื่อนปฏิรูป และสร้างฐานคือชุมชนท้องถิ่นให้มีความมั่นคง โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือ มหาวิทยาลัยในฐานะที่เป็สถาบันทางการศึกษา มีความเป็นกลางและมีปัญญามากที่สุด ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการสังเคราะห์และกำหนดนโยบายสาธารณะเพราะนโยบายสาธารณะเป็นเรื่องที่กระทบกับทุกองคาภยพของสังคม หากนโยบายสาธารณะไม่ดีคนในสังคมได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ซึ่งที่ผ่านมามหาวิทยาลัยอาจคุ้นเคยกับการสอนวิชาการ แต่ต่อไปต้องเปลี่ยนมุมมองเพื่อหาวิธีไขกุญแจ ปลดล็อคเพื่อเปิดพลังของสังคมแก้วิกฤติชาติ โดยการปฏิรูปประเทศ โดยมหาวิทยาลัยใช้สังคมเป็นตัวตั้งก็จะเห็นถึงความต้องการ สามารถทำให้การจัดการศึกษาในท้องถิ่นชุมชนเข้ารูปเข้ารอย และตรงกับความต้องการมากขึ้น

 

ประธานสมัชชาปฏิรูป กล่าวอีกว่า ตนเชื่อมั่นว่าหากมหาวิทยาลัยเข้ามาทำงานร่วมกับท้องถิ่น ชุมชน จะเกิดความร่วมมือและเห็นผลได้ภายใน 5 ปี โดยแนวทางการทำงานของมหาวิทยาลัยในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น เพื่อไปสู่เป้าหมาย หนึ่งมหาวิทยาลัย ต่อหนึ่งจังหวัด นั้น ประกอบด้วย 1.สำรวจข้อมูลจังหวัด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการวางแผน ความเข้าใจ  2.ส่งนักศึกษาไปอยู่กับชาวบ้าน ไม่ใช่แค่การไปออกค่ายอาสาเท่านั้น แต่ต้องลงลึกไปคลุกคลี กินนอนกับชาวบ้านเพื่อเข้าใจวัฒนธรรม อาทิ ส่งนักศึกษาไปนอนบ้านละ 1 คน 3.ร่วมทำแผนชุมชน โดยเมื่อนักศึกษาเข้าไปมีส่วนร่วมกับชาวบ้านและชุมชน ก็จะดึงอาจารย์เข้าไปร่วมด้วย 4.พัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสม เมื่อมหาวิทยาลัยเข้าไปร่วมก็จะรู้ว่าควรมีการเชื่อมโยงความรู้ เทคโนโลยีกับชุมชนได้อย่างไร ซึ่งเป็นตัวกระทุ้นให้เกิดการวิจัยในมหาวิทยาลัยอีกทางหนึ่งด้วย 5.ส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

 

ดึงพลังมหาวิทยาลัยปฏิรูปประเทศ ชูโมเดล “1ม.1จังหวัด”

ศ.นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า 6.สังเคราะห์ประเด็นนโยบายไปสู่การปฏิบัติ 7.สื่อสารกับชุมชน และสังคมในภาพกว้าง ทำให้สังคมเกิดความเข้าใจและเข้ามาสนับสนุนอีกทางหนึ่ง 8.ผลิตกำลังคนที่ชุมชนท้องถิ่นต้องการ 9.มหาวิทยาลัยทำหน้าที่เป็นศูนย์จัดการความรู้ในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการทำงานร่วมกับพื้นที่ นอกจากนั้นมหาวิทยาลัยควรมีระบบการจูงใจให้กับอาจารย์ที่ลงไปทำงานร่วมกับชุมชน อาทิ การให้คุณค่าทางวิชาการ โดยนำผลงานที่ดำเนินงานร่วมกับท้องถิ่นไปเลื่อนตำแหน่งวิชาการได้ด้วย รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ควรจัดตั้งคณะทำงานเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นหน่วยงานเฉพาะในการขับเคลื่อนการทำงานด้านปฏิรูปด้วย

 

ผศ.ดร.สุภาวิณี สัตยาภรณ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ นำเสนอระบบการขับเคลื่อนแบบบูรณาการเพื่อพัฒนาพื้นที่ของมหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถ์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์กรภาคีว่า รูปแบบการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยที่ดำเนินการร่วมกับชุมชนคือ การจัดทำศูนย์เรียนรู้และพัฒนาสุขภาวะชุมชน เพื่อเป็นศูนย์ดูแลข้อมูลของชุมชน โดยแบ่งให้แต่ละคณะร่วมดูแลตำบลคณะละ 3 ตำบล รวมเป็น 30 ตำบล นอกจากนี้ยังได้การสร้างนักวิจัยเชิงพื้นที่เพื่อลงพื้นที่สำรวจข้อมูลชุมชนร่วมกับนักศึกษา และนำข้อมูลมาสังเคราะห์เป็นฐานข้อมูลตำบล จากนั้นจึงนำข้อมูลคืนกลับสู่ตำบลผ่านเวทีแลกเปลี่ยน เพื่อนำสู่การหาแก้ไขปัญหา โดยหากเป็นปัญหาที่ชุมชนไม่สามารถแก้ไขได้เอง ทางมหาวิทยาลัยจะมีการประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนำสู่การวิจัยจากปัญหาโจทย์ในพื้นที่โดยทำงานร่วมกันอย่างสหศาสตร์ ซึ่งทุกตำบลจะทำวิจัยไม่ต่ำกว่า 10 ชุด        

 

 

 

ที่มา:สำนักข่าว สสส.

Update:3-08-53

อัพเดทเนื้อหาโดย :คีตฌาณ์ ลอยเลิศ

Shares:
QR Code :
QR Code