ดันกาญจนบุรีนำร่องห้ามเผาอ้อย ลด PM2.5

ที่มา: MGR Online 


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


ดันกาญจนบุรีนำร่องห้ามเผาอ้อย ลด PM2.5 thaihealth


กระทรวงอุตสาหกรรมหารือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งผลักดันแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ดันจังหวัดกาญจนบุรีนำร่องห้ามเผาอ้อยเด็ดขาด สั่งอุตสาหกรรมจังหวัดประสานการทำงานร่วมกับทุกฝ่ายหนุนใช้รถตัดอ้อยแทนเริ่มฤดูผลิตปี 63/64 พร้อมดันเหมืองแร่ที่มีมูลค่าสูงต้องทำ SEA


นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับนายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ได้หารือถึงการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ซึ่งจากการหารือเตรียมกำหนดพื้นที่ห้ามเผาอ้อยเด็ดขาดโดยจะนำร่องที่ จ.กาญจนบุรี เป็นจังหวัดแรกเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในฤดูผลิตปี 63/64 ก่อนที่จะขยายไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ต่อไป


“เราจะดูพื้นที่ที่เหมาะสมกับการผลักดันที่จะนำรถตัดอ้อยไปดำเนินการ ซึ่งต้องร่วมมือกับโรงงานและชาวไร่ในพื้นที่เป็นสำคัญ เพราะขณะนี้ชาวไร่อ้อยส่วนหนึ่งได้มีการเผาอ้อยเพื่อตัดเพราะขาดแคลนแรงงานและแปลงเพาะปลูกยังไม่เอื้อ โดยจังหวัดกาญจนบุรีมีโรงงานผลิตน้ำตาล 10 แห่งและมีพื้นที่ปลูกอ้อย 4 แสนไร่ มีความเหมาะสมนำร่องเพราะขณะนี้มีการใช้รถตัดอ้อยอยู่พอสมควร ซึ่งทางอุตสาหกรรมจังหวัดจะทำงานร่วมกับทรัพยากรจังหวัดโดยจะมีแรงจูงใจมาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการ หากประสบความสำเร็จก็จะขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ ต่อไปเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ระยะยาว” นายพสุกล่าว


นอกจากนี้ยังได้หารือเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่และการกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่อย่างยั่งยืนตาม พ.ร.บ.เหมืองแร่ฉบับใหม่ ที่จะกำหนดโซนนิ่งการพัฒนาแร่แต่ละชนิดให้เหมาะสม โดยหลักการสำคัญจะต้องมีการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ควบคู่ไปกับการทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โดยจะมีการตั้งคณะทำงานมาพิจารณาร่วมกันว่าควรดำเนินการเหมืองแร่ชนิดใดก่อนซึ่งจะเน้นที่มีมูลค่าเศรษฐกิจสูงเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความชัดเจนที่สุด และดูแลพื้นที่ได้รับอนุญาตทำเหมืองแร่ ทั้งการฟื้นฟูและการปรับปรุงส่งพื้นที่คืนร่วมกัน


พร้อมกันนี้ยังหารือการผลักดัน ”ศูนย์เฝ้าระวังแบบทันสมัย” 6 ศูนย์ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ราชบุรี ขอนแก่น สงขลา และชลบุรี การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งจะมีการผลักดันให้เกิดการตั้งโรงงานตัดหรือแปรรูปไม้ไผ่ ซึ่งจะเป็นการกระจายป่าไผ่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมพืชเศรษฐกิจได้ไปในตัว การเชื่อมโยงฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ข้อมูลการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมให้เหลือ 20-25% ภายในปี 2010 การกำหนดมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ใหม่ขนาดเล็ก/ใหญ่ให้เป็นไปตามมาตรฐานยูโร 6 ภายในปีพ.ศ. 2565 ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมหนึ่งปี เป็นต้น

Shares:
QR Code :
QR Code