ดัชมิลล์ผนึกพันธมิตรรณรงค์ดื่มนมทั่วไทย
ขับขี่ปลอดภัย เทิดไท้องค์ราชัน
นายพรชัย สวัสดิ์สุขสบชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดัชมิลล์ จำกัด กล่าวว่า จากสถิติอุบัติเหตุ และการเสียชีวิตจากการขับขี่ในช่วงเทศกาลต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมการดื่มนมที่น้อยของคนไทย ทางบริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการรณรงค์ให้คนไทยดื่มนมควบคู่ไปกับการขับขี่ปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ จึงร่วมกับสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.)
ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกระทรวงสาธารณสุข จัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ในโครงการ “ดื่มนมทั่วไทย ปลอดภัยทั่วประเทศ”ภายใต้กิจกรรมรณรงค์”7 วัน ขับขี่ปลอดภัย เทิดไท้องค์ราชัน” เพื่อกระตุ้นให้คนไทยดื่มนม ขับขี่ปลอดภัย ลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 ทั้งนี้เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ และช่วยลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลแห่งความสุขของคนไทยทุกคน อีกทั้งเป็นการแสดงความปรารถนาดีต่อบุคคลท่านนั้นอย่างแท้จริง
“ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทฯรณรงค์การดื่มนม ในทุกช่วงเทศกาลสำคัญๆ มาตลอด เพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของคนไทย แต่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่กลุ่มบริษัทฯร่วมกับ สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรณรงค์ให้คนไทยได้มีสุขภาพดี ปลอดภัย ในช่วงฉลองเทศกาลปีใหม่ทั้งจากการขับขี่ปลอดภัยไร้อุบัติเหตุ และการมอบนม เพื่อเป็นของขวัญแทนใจ”
ทั้งนี้ ทางกลุ่มบริษัท ดัชมิลล์ ต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยหันมาดื่มนมมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันคนไทยดื่มนมในปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 13.02 ลิตร/คน/ปี เทียบกับญี่ปุ่น บริโภคเฉลี่ยประมาณ 76 ลิตร/คน/ปีนอกจากนี้ นมยังเหมาะเป็นของขวัญเพื่อสุขภาพเพราะมีสารอาหารครบหมู่ ซึ่งมีคุณค่าแทนใจที่จะส่งมอบความปรารถนาดี นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนงาน กิจกรรมดีๆ ที่จะรณรงค์การดื่มนม ตามมาอีกเร็วๆ นี้
สำหรับกิจกรรมการรณรงค์ ดื่มนมทั่วไทยปลอดภัยทั่วประเทศ จะจัดกิจกรรมรณรงค์ ในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม2552-4 มกราคม 2553 ซึ่งมีการจัดสื่อรณรงค์ทั่วประเทศ ได้แก่ การจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์รณรงค์แบบดาวกระจาย และ กล่องนมยักษ์ เพื่อติดตั้งบริเวณสี่แยกหลักตามหัวเมืองใหญ่ ทั้งนี้เพื่อให้ต้องการคนไทยได้ตระหนักถึงความปลอดภัยบนท้องถนน และลดความเร็วในการขับขี่อีกด้วย
ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย
update: 24-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: อภิชัย วรสิทธิ์ขจร