“ชุมชน รัฐ” เฝ้าระวัง “ไฟป่า”
เน้นการประสานภูมิปัญญาท้องถิ่น
ปัญหาหมอกควันในภาคเหนือ เป็นปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี เมื่อล่วงเข้าสู่ช่วงฤดูแล้ง และมีแนวโน้มของความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ จ.เชียงใหม่ในปี 2550 พบว่ามีปริมาณฝุ่น และหมอกควัน สูงเกินค่ามาตรฐานถึง 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ !!
สาเหตุหลักของปัญหาหมอกควัน เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกันไม่ว่าจะเป็นไฟป่า ฝุ่นละอองจากถนน การก่อสร้าง ควันและเขม่าจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงของยานพาหนะประเภทต่างๆ รวมไปถึงสภาพของความกดอากาศในขณะนั้น ประกอบกับสภาพภูมิประเทศซึ่งมีภูเขาล้อมรอบ ทำให้มลพิษต่างๆ ถูกกักไว้และแผ่ปกคลุมทั่วเมือง
แทบทุกครั้งที่เกิดวิกฤตหมอกควันขึ้น หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมักจะพุ่งเป้าที่ไป “เกษตรกรบนพื้นที่สูง” ว่าเป็นต้นตอของปัญหา โดยมีที่มาจากการเผาป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย ทำให้มีมาตรการการแก้ปัญหาด้วยการ “ห้ามเผา” อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยมิได้คำนึงถึง “ระบบการผลิต” ของชาวบ้านบนพื้นที่สูง หรือภูมิปัญญาชาวบ้านในการ “ชิงเผา” เพื่อบรรเทาปัญหาไฟป่าของชุมชน
สิ่งเหล่านี้นอกจากไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างครอบคลุมแล้ว ยังก่อให้เกิดความขัดแย้งระ หว่าง “คนเมือง” กับ “คนชนบท” ขัดแย้ง ระหว่าง “เกษตรกร” กับ “ภาครัฐ” ที่ส่งผลกระทบขยายวงกว้าง ไปสู่การดำเนินงานด้านอื่นๆ
เมื่อเร็วๆนี้ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้จัดทำ “โครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบการจัดการทรัพยากรเพื่อป้องกันปัญหาไฟป่าและหมอกควันเชิงรุก” ในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อสลายความขัดแย้ง และสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดเป็นนโยบายและแผนงานการจัดการปัญหาไฟป่า และทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
บุญตา สืบประดิษฐ์ ผู้จัดการโครงการความร่วมมือเพื่อจัดการไฟป่าแบบผสมผสานลดปัญหาหมอกควัน มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน บอกว่า แนวทางหรือมาตรการการแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควันที่ถูกต้อง จะต้องเกิดขึ้นมาจากการมีข้อมูลที่รอบด้าน ทางมูลนิธิฯ จึงร่วมกับแต่ละชุมชน รวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงในพื้นที่ แล้วนำไปเสนอให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ชาวบ้าน มีทางเลือกในการจัดการกับปัญหาที่ผสมผสานระหว่าง “วิทยาศาสตร์” และ “ภูมิปัญญาดั้งเดิม” ของชุมชน เช่นการ “ชิงเผา” เพื่อลดการสะสมของเชื้อเพลิงในป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ
“งานที่ทำร่วมกับชุมชน คือพัฒนากระบวนการเรียนรู้เรื่องการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน
เพราะว่าไฟป่า มีความสัมพันธ์กับทรัพยากร และวิถีชีวิตของชาวบ้าน ทำอย่างไรให้ชุมชน ที่อยู่ในพื้นที่ป่ามีความเข้มแข็ง ให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าภาพที่ต้องร่วมกันแก้ปัญหา ไม่เหมือนในอดีตที่ชาวบ้านจะโยนความรับผิดชอบให้กับหน่วยงานต่างๆ
เช่นหากเกิดไฟป่าก็จะให้ ศูนย์ควบคุมไฟป่า มาดูแล ซึ่งโครงการ ความร่วมมือเพื่อจัดการไฟป่าแบบผสมผสานฯ ได้ทำให้เกิดการรวม กลุ่มของชุมชนที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายในป่า เป็นเครือข่าย ระบบนิเวศน์ผืนใหญ่ ที่มีพลังในการจัดการกับปัญหาทรัพยากรชุมชน และไฟป่าได้มากขึ้น โดยประสานความร่วมมือกับภาครัฐ บนพื้นฐานของความเข้าใจซึ่งกันและกัน” บุญตาระบุ
ในอดีตชาวบ้านภาคเหนือ ล้วนมีวิถีชีวิตด้วยการทำไร่หมุนเวียนเพื่อปลูกข้าว มีการปล่อยที่ดินที่ใช้เพาะปลูกในปีที่ผ่านมาให้ฟื้นตัว คืนความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ กว่าจะกลับมาใช้ประโยชน์จากผืนดินอีกครั้งก็ราวๆ 1-3 ปี
สมพล อนุรักษ์วนภูมิ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านทับ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เล่าว่า นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา เมื่อชาวบ้านทั้งบนดอยและพื้นที่เชิงดอย หันมาปลูกข้าวโพด และต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก ทำให้มีการเผาไร่ตั้งแต่เดือน ก.พ.- เม.ย. เพื่อกำจัดวัชพืช และเตรียมดินเพื่อการเพาะปลูก จึงทำให้มีปัญหาไฟป่าและหมอกควันในช่วงดังกล่าว
“ชุมชนของเราแต่เดิมก็มีภูมิปัญญาในเรื่องของการทำแนวกันไฟในเขตป่าของชุมชน และมีความเชื่อว่าไฟ เป็นโทษมหาศาล ถ้าไฟไหม้ป่า ก็ทำให้ให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ ตายหมด อาหารก็จะไม่มี น้ำก็จะแห้ง”
สมพล ยืนยันว่า การเผาไร่นั้น เป็นเรื่องปกติที่ชาวบ้านที่อยู่บนพื้นที่ภูเขาจะต้องทำ แต่ชาว บ้านบนดอยส่วนใหญ่จะเริ่มเผากันในราวต้นเดือน เม.ย.เพราะหลังจากนั้นไม่นานฝนบนดอยก็จะตก
ที่ ต.บ้านทับ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ คือตัวอย่างที่ดี ในการจัดการปัญหาทรัพยากรชุมชน และไฟป่า โดยการมีส่วนร่วมของภาครัฐและชาวบ้าน พ่อหลวงปราโมทย์ กองจันทร์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.บ้านทับ อ.แม่แจ่ม เล่าว่า ชุมชน ต.บ้านทับ มีการจัดตั้งคณะกรรมการอนุรักษ์ป่า ที่ ประกอบด้วยกรรมการหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเฝ้าระวัง และดูแลป่าของชุมชน
ในกรณีที่มีไฟป่า เข้ามาในพื้นที่ๆ ชาวชุมชนจะระดมชาวบ้านออกมาช่วยกันดับไฟ นอก จากนี้ยังมีกฎระเบียบของหมู่บ้านในการควบคุมป้องกันไฟป่าเช่น ถ้าจะเผาไร่ต้องทำแนวกันไฟหรือแจ้งกรรมการอนุรักษ์ป่า ให้รู้ล่วงหน้า
“เรื่องของไฟป่า ชาวบ้านทุกคนก็มีความตระหนักมากขึ้น เมื่อก่อนนี้สัก 5-10 ปีที่ผ่านมา เมื่อถึงหน้าร้อนไฟจะไหม้ไปหมดทั้งดอย แต่ปัจจุบันนี้ป่าแน่นขึ้น พื้นที่ป่าก็เพิ่มขึ้น และทางคณะกรรมการฯ ได้มีการคุยกับชาวบ้านให้มีการจัดแบ่งเวลาการเผาไร่ เพราะถ้าหากไม่เผาก็จะเป็นปัญหาสำหรับเกษตรกร ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ในการใช้ยาและสารเคมีเพื่อฆ่าหญ้า ซึ่งชาวบ้านบนดอย จะเริ่มเผาไร่ในช่วงที่ก่อนฝนจะตก ดังนั้นปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้นในเดือน ก.พ.-มี.ค. จึงน่าจะมีสาเหตุ มาจากปัจจัยอื่นๆ” พ่อหลวงปราโมทย์ ว่าอย่างนั้น
ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยง สสส. บอกว่า เรื่องของมลภาวะเป็นพิษที่เกิดจากหมอกควันซึ่งกำลังเป็นปัญหาอยู่ในหลายจังหวัดทางภาคเหนือในขณะนี้ มีสาเหตุมาหลักๆ มากจากการเกิดไฟป่า และบางส่วนก็เกิดขึ้นจากการเผาพื้นที่ เพื่อทำการเกษตร ที่ผ่านมา สสส. เข้าไปสนับสนุนการทำงานเพื่อป้องกันไฟป่าโดยให้ชุมชนมีส่วนร่วม เพื่อทำให้ปัญหาส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนลดน้อยลงไป
ทพ.ศิริเกียรติ บอกว่าแนวทางการแก้ปัญหาไฟป่า จะต้องเกิดขึ้นมาจากชุมชน เพราะชุมชนมีกำลังคน มากกว่าภาครัฐ และกระจายอยู่รอบๆพื้นที่ป่า ด้วยเหตุที่กำลังคนที่มากกว่า และเป็นคนในพื้นที่ ชาวบ้านจึงมี บทบาทในการแก้ปัญหาได้ดีกว่า การเพิ่มความรู้ และศักยภาพของชุมชน จะช่วยให้ชุมชนสามารถประสาน ความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง และก็เป็นการช่วยเสริม พลัง ในการจัดการกับปัญหาไฟป่า อย่างได้ผลอีกด้วย…
ทำแนวกันไฟ ร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ ป้องกันไฟป่า
ประสานความร่วมมือกับภาครัฐ สำรวจพื้นที่ป่าที่ชุมชนต้องดูแล
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
update: 02-04-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร