ชวนทำดีหวังผลในงาน Good Society Expo

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน 


รูปประกอบจาก : เว็บไซต์บ้านเมือง


         ชวนทำดีหวังผลในงาน Good Society Expo thaihealth


 


                        ด้วยเชื่อว่าหากทุกคนได้ลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อสังคม    เลือกทำในสิ่งที่เราทำได้     คนละไม้ละมือ ก็สามารถทำให้สังคมน่าอยู่และดีขึ้น    ดั่งที่มาของงาน   "Good Society Expo :  เทศกาลทำดีหวังผล"     ซึ่งรวบรวมองค์กรเพื่อสังคมที่ทำงานเห็นผลจริงกว่า     60   องค์กร    มานำเสนอเครื่องมือการให้    รวมถึงกิจกรรมที่หลากหลาย    เพื่อพิสูจน์ว่าเมื่อพลังของคนตัวเล็กๆ   รวมกัน    ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ได้    ณ    ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์    กรุงเทพฯ


                        ภายในงานนำเสนอการทำความดีด้านต่างๆ    ตั้งแต่โซนสุขภาพ    การศึกษา    สิ่งแวดล้อม    นวัตกรรมเพื่อสังคม    และคอร์รัปชั่น    โดยหนึ่งในองค์กรที่มาจัดกิจกรรม     พยายามสร้างความตระหนักถึงปัญหาสุขภาพคนไทย เนื่องจากผลสำรวจพบว่าคนไทย   19   ล้านคน    มีภาวะอ้วน    คนไทย    13   ล้านคน    มีภาวะความดันโลหิตสูง ส่วนอีก    4    ล้านคน    เป็นโรคเบาหวาน    และอีก    7.7    ล้านคน    เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานโดยไม่รู้ตัว    จึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้คนไทยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางสุขภาพ


                        ดร.ณัฐพันธุ์ ศุภกา     ผู้อำนวยการสำนักภาคีสัมพันธ์และวิเทศสัมพันธ์    สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)     กล่าวว่า เพราะ    2    ใน   3  ของโรคที่เกิดขึ้น    ล้วนมาจากปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม    การทำงานของ    สสส.จึงเน้นพฤติกรรมทางสุขภาพของคน    สังคมและสิ่งแวดล้อม


                        "สสส.พบพฤติกรรมทางสุขภาพของคนไทยยุค    4.0    แต่ละช่วงวัยที่สำคัญ    คือ    ในกลุ่มเด็กเล็กเริ่มติดหวานตั้งแต่ 2-5 ขวบ     เนื่องจากผู้ปกครองเริ่มให้กินน้ำหวานหรือน้ำอัดลมมากกว่า    1    ครั้งต่อวัน    ถึงร้อยละ     12     ถัดมาที่กลุ่มวัยรุ่น     มีพฤติกรรมขยับน้อยกว่าผู้สูงอายุ    โดยวัยรุ่นเฉลี่ยมีกิจกรรมทางกายเพียง    1.14   ชั่วโมงต่อวัน     แต่ใช้เวลาไปกับอินเตอร์เน็ต   6   ชั่วโมงต่อวัน    ส่วนกลุ่มวัยทำงาน    ขณะนี้เราเห็นวัฒนธรรมการดื่มกาแฟตอนเช้า     น้ำหวานกลางวัน    และดินเนอร์ขนมหวานบิงซูตอนเย็น    ซึ่งจากการที่    สสส.ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลทำการสำรวจถนนสายเศรษฐกิจย่านสีลม      อนุสาวรีย์ชัยฯ    เพื่อตรวจปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มชงหวาน 5 เมนูยอดฮิต     พบว่า     เพียง   1   แก้ว    ขนาด    250 มล.     มีปริมาณน้ำตาลสูงถึง    10-15    ช้อนชา    ทั้งที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภคน้ำตาลในอาหารทุกชนิดไม่เกินวันละ    6    ช้อนชา"


                         ดร.ณัฐพันธุ์กล่าวอีกว่า      "พฤติกรรมเหล่านี้ เสี่ยงต่อโรคอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน หัวใจ ความดัน และส่วนผู้สูงวัย พบว่าขาดการรับมือเข้าสู่สังคมสูงวัย โดยพบผู้สูงอายุร้อยละ 95 มีโรคประจำตัว แต่ยังคงสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม สสส.พยายามส่งเสริมให้คนแต่ละช่วงวัยมีพฤติกรรมทางสุขภาพที่ดีขึ้นได้ ผ่านคำพูดที่ว่า สุขภาพดีเริ่มได้ที่ตัวเรา และส่งต่อสุขภาพดีให้คนอื่น"


                         ภายในงาน   สสส.ร่วมกับภาคีเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพนำนิทรรศการและกิจกรรมน่าสนใจมาแสดงมากมาย อาทิ    นิทรรศการคนไทยไร้พุง    ที่นำเอาเมนูอาหารยอดฮิตของคนไทยมาบอกจำนวนกิโลแคลอรี    พร้อมคำแนะนำการทานเมนูเดิม     แต่แคลอรีลดลง    อย่างข้าวขาหมู    665 กิโลแคลอรี     หากจะเผาผลาญหมดต้องวิ่งถึง 61 นาที หรือปั่นจักรยาน 55 นาที      หรือว่ายน้ำ 47 นาที     แนะนำให้สั่งแบบไม่เอาหนัง     เพิ่มผักเยอะๆ หรือหากต้องการป้องกันหัวใจ     ให้กินกระเทียมสด    หรือเมนูข้าวหมูแดงหมูกรอบ    450 แคลลอรี     หากจะเผาผลาญหมดต้องวิ่งถึง 41 นาที     หรือปั่นจักรยาน 37 นาที     หรือว่ายน้ำ 31 นาที     แนะนำให้เลือกหมูแดงเนื้อล้วน    อย่าราดน้ำเยอะ   ทั้งนี้    วิทยากรได้แนะนำถึงการกินง่ายๆ ว่า     "ลดกินอาหารมันทุกประเภท    อย่างจะกินข้าวมันไก่ให้สั่งไม่เอาหนัง   หรือจะกินผัดไทยให้โรยถั่วลิสงน้อยๆ      จะกินกะเพราราดข้าวให้สั่งหมูชิ้นแทนหมูสับ     กินไข่ต้มแทนไข่เจียว    สั่งสุกี้กินแบบน้ำดีกว่าแบบแห้ง     และระวังอย่าใส่น้ำจิ้มสุกี้มากไป     และจะดื่มเครื่องดื่มต้องไม่เพิ่มวิปครีม"


                          ถัดมาเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน     นำเอาเครื่องดื่มสารพัดชงต่างๆ มาจัดแสดง     พร้อมบอกปริมาณน้ำตาลซึ่งมากจนผู้ดื่มอาจไม่เคยรู้มาก่อน    อย่างเครื่องดื่มชงที่มีปริมาณน้ำตาลมากที่สุด    5   ชนิด   ได้แก่    น้ำแดงโซดา นมเย็น    ชามะนาว    ชาเขียว    และชาดำเย็น


                          เมื่อไม่มีโรคภัยไข้เจ็บโดยทั่วหน้า เราก็จะมีเงิน มีเวลาไปช่วยสังคม ซึ่งน่าสนใจว่าในปัจจุบันการทำดีไม่จำเป็นต้องไปลำบาก ลงพื้นที่ชนบท ไปตามสถานสงเคราะห์ หรือโรงเรียนต่างๆ เพราะขอเพียงแค่เรา "กิน-ช้อป" ก็สามารถช่วยเหลือสังคมได้แล้ว


                           น.ส.ทิพย์ชยา พงศธร ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการฟู้ด ฟอร์กู๊ด (Food4Good) พี่อิ่มท้องน้องอิ่มด้วย กล่าวว่า โครงการจัดตั้งเมื่อปี 2557 ภายใต้มูลนิธิยุวพัฒน์ โดยได้สร้างความร่วมมือกับเครือข่ายร้านอาหารและโรงแรมในประเทศไทยกว่า 100 แห่ง ให้เป็นส่วนหนึ่งพัฒนาสังคม เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายอาหารในเมนูที่ร่วมโครงการ ไปช่วยเหลือเรื่องอาหารและโภชนาการให้กับเด็กที่ขาดแคลนในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาสามารถระดมเงินสนับสนุนเข้าโครงการได้แล้ว 3 ล้านกว่าบาท ได้อาหาร 3 แสนกว่าจาน ช่วยเด็กได้จำนวน 976 คน อย่างไรก็ดี สามารถร่วมสนับสนุนโครงการได้ เพียงเข้าไปที่ร้านอาหารที่สนับสนุนโครงการ ซึ่งดูรายละเอียดได้จากเพจเฟซบุ๊ก food4goodth จนเมื่อเข้าไปที่ร้านก็ถามพนักงานว่ามีเมนูไหนที่สนับสนุนฟู้ดฟอร์กู๊ด หรือเปิดเมนูดูก็จะมีฉลากติดที่เมนู นั้นๆ


                          จากข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการระบุว่า    เด็กไทย 3.5 ล้านคน อยู่ในภาวะทุพโภชนาการ โดยเฉพาะเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่มีภาวะน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ถึงร้อยละ 15.7 และภาวะทุพโภชนาการเรื้อรังร้อยละ 4.7 แม้ปัจจุบันจะมีเงินรายหัวค่าอาหารกลางวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่เด็กจะได้รับอาหารครบตามโภชนาการ จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนเพิ่ม ซึ่งภายหลังฟู้ดฟอร์กู๊ดเข้าไปสนับสนุนในหลายมูลนิธิ หนึ่งในนั้นคือ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก ที่ดูแล 3 โรงเรียนพื้นที่ห่างไกล จ.แม่ฮ่องสอน ไม่เพียงจัดหาอาหารตามโภชนาการให้เด็กได้กินครบทุกมื้อ แต่ยังเติบโตเป็นโครงการเกษตรเพื่ออาหารทุกมื้อครบวงจร ที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะชีวิตในการปลูกผัก เลี้ยงสัตว์


                          ขณะที่ น.ส.ปูมนุรี ศุภจรรยา ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและผลลัพธ์ทางสังคม โซเชียล กีฟเวอร์ (Socialgiver) กล่าวว่า เราได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับภาคธุรกิจและภาคสังคม โดยสร้างพื้นที่ให้ธุรกิจได้สามารถทำกิจกรรมเพื่อสังคม (ซีเอสอาร์) ได้ง่ายและเห็นผลยั่งยืนมากขึ้น โดยได้ร่วมกับรีสอร์ตและโรงแรมชั้นนำในประเทศ 163 องค์กรธุรกิจ รับเป็น กิฟต์เวาเชอร์หรือบัตรกำนัลห้องพักและบริการต่างๆ ซึ่งจะระบุไว้เลยว่าการจำหน่ายห้องพักและบริการนี้จะนำไปช่วยเหลือโครงการอะไร ขณะที่ผู้ซื้อก็จะได้ซื้อในราคาประหยัดกว่าราคาปกติและได้ทำบุญ โดยแบ่งร้อยละ 70 ของการขายไปสนับสนุนโครงการเพื่อสังคม ส่วนอีก ร้อยละ 30 สนับสนุนระบบปฏิบัติการและติดตามผล อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาสามารถช่วยเหลือโครงการเพื่อสังคม 26 โครงการ ทั้งด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียม และอื่นๆ รวมเป็นเงิน 2.5 ล้านบาท


          เห็นหรือไม่ว่า การทำความดีไม่ยาก


 

Shares:
QR Code :
QR Code