ชวนคิด ชวนคุย มิติสุขภาพทางปัญญา
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากเว็บไซต์ nationalhealth.or.th และแฟ้มภาพ
หากพูดถึง 'สุขภาพกายและจิต' คงเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปเข้าใจได้ไม่ยาก พอเป็นเรื่อง'สุขภาพสังคม' แม้เป็นภาพที่ใหญ่ขึ้น แต่เราก็ยังพอจับต้องได้ว่า หมายถึงอะไร มันสำคัญอย่างไรต่อสุขภาพของเรา
แต่สำหรับ 'สุขภาพทางปัญญา' หลายคนส่ายหน้า ไม่เข้าใจว่า มันคืออะไรกันแน่
กระนั้นก็ตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ได้ให้ความหมายต่อสุขภาพที่กินความทั้งกาย จิต สังคม และรวมไปถึงปัญญา อย่างเป็นองค์รวมและสมดุล
"สุขภาพทางปัญญามีความซับซ้อนและต้องการความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้สนับสนุนการจัดทำธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติเพื่อใช้เป็นกรอบและแนวทางในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการดำเนินงานด้านสุขภาพของประเทศของหน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ
ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นฉบับ ที่ 2 ใช้มาตั้งแต่ปลายปี 2559 ซึ่งระบุ เรื่องสุขภาพทางปัญญาไว้ทั้งในส่วนของภาพพึงประสงค์และหลักการสำคัญ โดย สช. กำลังทำงานร่วมกับภาคีเพื่อสนับสนุนให้สังคมไทยมีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องสุขภาพทางปัญญาและ เข้าถึงสุขภาพทางปัญญาที่เชื่อมโยงเป็นองค์รวมกับสุขภาพในมิติอื่น ๆ"
ทิพย์รัตน์ นพลดารมย์ กรรมการบริหาร รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในเวที 'ชวนคิด ชวนคุย มิติสุขภาพทางปัญญา' ซึ่ง สช. ร่วมกับ สสส. สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ (สวสส.) และธนาคารจิตอาสา จัดขึ้น
นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคสุวะพลา กรรมการสุขภาพแห่งชาติ และ ประธานกรรมการทบทวนธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ กล่าวยอมรับว่า ที่ผ่านมา สช. ทำงานในส่วนนี้ค่อนข้างน้อย นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะร่วมวางกรอบและมองหาทิศทางสู่สุขภาพทางปัญญาร่วมกัน
"สุขภาพทางปัญญา คือ การรู้ทั่ว รู้เท่าทัน เข้าใจ และแยกแยะประโยชน์และโทษได้ ซึ่งจะนำไปสู่จิตใจที่นึกถึงผู้อื่น โดยอยากโยงว่าสุขภาพทางปัญญาเป็นฐานรากของสุขภาพแบบองค์รวมและไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเรื่องของศาสนา"
สนทนา 9 ฐาน
การพูดคุยครั้งนี้ สช. ได้เชิญหลายภาคส่วนเข้ามาร่วมหารือ โดยแบ่งฐานการสนทนาเป็น 9 หัวข้อหลักประกอบด้วยฐานธรรมชาติ ฐานจิตอาสา ฐานงานบันดาลใจ ฐานความสัมพันธ์ ฐานการเรียนรู้ ฐานการเคลื่อนไหวร่างกาย ฐานศิลปะหรือความคิดสร้างสรรค์ ฐานภาวนา และฐานความเป็นธรรมทางสังคม
พฤ โอโดเชา นักกิจกรรมชาว ปกากะญอ จ.เชียงใหม่ เข้าร่วมฐานความเป็นธรรมทางสังคม บอกเล่าถึงปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่กับผืนป่ามานาน แต่วันหนึ่งรัฐก็ไล่พวกเขาออกจากผืนป่า ประสบการณ์นี้ทำให้เขาเรียนรู้ว่า ตนเองมีสิทธิ จึงได้ลุกขึ้นเรียกร้องเพื่อหมู่บ้านของเขา
"คนชายขอบทุกประเภท โดยเฉพาะผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ มักต้องเผชิญอคติของคนในสังคม ซึ่งนำไปสู่การตีตรา การเลือกปฏิบัติ และหนักสุดคือการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เรียนรู้ที่จะเคารพตนเองและผู้อื่น เห็นความสำคัญของการช่วยเหลือผู้อื่น" นาดา ไชยจิตต์ คนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน กล่าว
ทางด้านฐานการเรียนรู้ ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงความเห็นว่า สังคมไทยให้ความสำคัญกับความรู้มากกว่าการเรียนรู้ หลักสูตรเดียวใช้ทั้งประเทศ จึงควรหาแนวทางให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างพื้นที่พูดคุยให้เกิดการเรียนรู้ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม โดยให้ความสำคัญกับทักษะในการดำเนินชีวิต การคิดวิเคราะห์ การตั้งคำถาม และการลงมือทำต้องวางเป้าหมาย
การแบ่งกลุ่มสนทนายังมุ่งไปที่ 3 ประเด็นหลัก คือ ยุทธศาสตร์การ ขับเคลื่อนสุขภาพทางปัญญา แนวทางที่ทำแล้วได้ผล และตัวชี้วัดความสำเร็จ ของแต่ละฐาน
บฤงคพ วรอุไร อาจารย์ประจำวิทยาลัยดุริยศิลป์ มหาวิทยาลัยพายัพ บอกว่า อยากใช้ศิลปะขับเคลื่อนปัญญา ซึ่งพบว่า คนไทยไม่ค่อยเข้าใจศิลปะ
"ตัวอย่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เช่น การสร้างโบสถ์ ยิ่งใช้ทุนเยอะ หลังใหญ่ จะยิ่งสวย และในที่สุด วันที่ฉลองโบสถ์ เราก็ตัดต้นไม้เพื่อทำลานจอดรถ นี่เป็นปัญหาที่สะท้อนการขาดความเข้าใจเรื่องศิลปะหรือความงามของคนไทย
ในมิติที่ลึกลงไปอีก คือ เมื่อคนเราไม่เข้าใจศิลปะ ทั้งที่มันเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราเข้าใจตัวเองได้ เมื่อเรายังไม่เข้าใจตัวเอง โอกาสที่เราจะเข้าใจมนุษย์คนอื่นก็ยิ่งยากขึ้น ดังนั้น การขับเคลื่อนเรื่องนี้ ต้องใส่ความเข้าใจศิลปะลงไปในตัวคนไทย เมื่อเข้าใจแล้วก็น่าจะแก้ปัญหาได้หลายอย่าง"
นอกจากนี้ ยังมีการยกตัวอย่าง เรื่องการใช้ศิลปะจากการเขียน การปั้น การวาดภาพนิทานในการใคร่ครวญ ไตร่ตรอง และลงมือปฏิบัติอย่างมีสมาธิและมีสติ อรสม สุทธิสาคร นักเขียนสารคดี ที่ใช้กระบวนการเขียนเข้าไปทำงานกับ ผู้ต้องขังในเรือนจำบางขวาง ผลปรากฏว่า ผู้ต้องขังเหล่านั้นสามารถเขียนได้ กินใจผู้อ่าน อรสมยังเคยทดลองให้ผู้ต้องโทษเขียนนิทานภาพสำหรับเด็ก ผู้ต้องขังที่เป็นอดีตมือปืน 2 คนได้เขียนนิทานแล้วอ่านให้กันฟัง และพบว่า นิทานภาพนั้นเล่าเรื่องได้อย่างใสบริสุทธิ์ ทำให้ผู้อ่านได้เห็นความงาม ทั้งภาพและเรื่องเล่า
กับคำถามที่ว่า แล้วจะวัดความสำเร็จอย่างไร จากเรื่องความคิดสร้างสรรค์และงานศิลปะ ดูเหมือนยากที่จะวัด แต่หากมองให้กระจ่าง ผลงานที่ผู้คนสร้างสรรค์ออกมาก็เป็นตัวชี้วัดในตัวมันเองแล้วไม่ใช่หรือว่าในหัวใจของผู้สร้างสรรค์ยังมีความงามอยู่
โยง 9 ฐานสู่มิติทางปัญญา
หลังการสนทนาในฐานต่าง ๆ เสร็จสิ้น นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ได้ขมวดปมทั้ง 9 ฐานให้เห็นความเชื่อมโยงนำไปสู่มิติทางปัญญาว่า
"เรื่องแรกคือเรื่องธรรมชาติ ผมคิดว่าเรื่องความสัมพันธ์กับธรรมชาติ ต้องลดการเอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง หรือลดอัตตาของมนุษย์ลง โดยเรื่องธรรมชาติในมิติทางปัญญา มนุษย์ต้องมีจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อม มีความอ่อนน้อมต่อธรรมชาติ และความอ่อนโยนต่อสรรพสิ่ง การที่มนุษย์มีความรู้สึกเดือดร้อนไปกับสิ่งแวดล้อมที่กำลังถูกทำลาย หรือเสื่อมโทรม สามารถโยงเข้ากับ เรื่องสุนทรียภาพได้ โดยสุนทรียภาพนั้นต้องการศิลปะมาเสริม ซึ่งศิลปะเป็นศักยภาพอย่างหนึ่งของมนุษย์ ศิลปะได้เปลี่ยนเราจากผู้เสพไปเป็นผู้สร้าง ศิลปะมีไว้เพื่อให้เราได้สร้างสรรค์ เพราะเราไม่สามารถมีชีวิตเป็นแค่ผู้เสพอย่างเดียว"
ส่วนเรื่องภาวนา ในความหมายของพุทธ หมายถึง การทำให้มากขึ้น หรือทำบ่อย ๆ ซึ่งคุณหมอเชื่อโดยพื้นฐานว่า "You are what you often do." คือ ถ้าเราทำเรื่องนั้นบ่อย ๆ ตัวเราก็จะเป็นแบบนั้น อยู่กับสิ่งที่เราทำอยู่กับปัจจุบัน โดยต้องตระหนักรู้ตลอดผ่านการทำ การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของตนเอง และบางเรื่องอาจต้องทำโดยทวนกระแส ความเคยชิน ทวนกระแสความสะดวกสบายและกิเลส ทำให้บางเรื่องทำบ่อย ๆ ไม่ไหว เพราะมันทวนกระแสหลายสิ่ง มันก็เลยทำลำพังไม่ค่อยได้ ซึ่งก็จะโยงไปหาเรื่องความสัมพันธ์ โดยคนเราจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่จะหล่อเลี้ยงให้เราทำงาน หรือสิ่งที่ยากได้ เพราะบางงานเป็นงานที่ทำสำเร็จโดยลำพังไม่ได้"
นพ.โกมาตร แนะว่า ในองค์กรที่ทำงานจะมีงานที่น่าเหนื่อยและเป็นภาระ ดังนั้นเราควรมีงานที่สร้างบันดาลใจ สัก 10 เปอร์เซ็นต์ เอาไว้ช่วยต่อชีวิต ในส่วนอุดมคติไม่ให้ตายไป ช่วยทำให้มีแรงขึ้นมาใหม่ เพื่อไปทำงาน อีก 90 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ ซึ่งเป็นงานที่ไม่ชอบ แต่ก็ต้องทำ นอกจากนี้ยังมีงานอีกแบบ คือ งานที่ชอบและดิ้นรนไปทำ ซึ่งก็คือ งานจิตอาสาที่อยากจะสร้างประโยชน์ต่อสังคม
"เรื่องสุขภาพทางปัญญา คือ เรื่องการเรียนรู้ โดยผมเห็นว่าควรมีการเรียนรู้ผ่านแนวคิด 3 แนว คือ เรื่องสุนทรียะหรือการเรียนรู้ที่จะรู้สึกจริยะหรือการเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อผู้คนและโลก และศักยะก็คือความสามารถของเราที่จะเติบโตงอกงาม ตามที่มนุษย์จะพึงมี เมื่อสุนทรียะและจริยะมาประกอบกันเข้า ศักยภาพของมนุษย์ก็จะไม่มีที่สิ้นสุด"