‘ชนบท’ ห้องเรียนนอกหลักสูตร
ของ…เยาวชนคนค่าย
“สังคมถูกขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงด้วยพลังหนุ่มสาว” ยังคงความจริงท้าทายกาลเวลา เห็นง่ายๆ จากหลักฐานบนประวัติศาสตร์ที่การเปลี่ยนแปลงมิเคยปราศจากพลังเยาวชนเลยสักครั้ง ซึ่งเหตุนี้เองที่กระบวนการสร้างคนหนุ่ม-สาวให้เติบโตเป็นผู้นำสังคมจึงสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่น
หากแนวทาง “สร้างคน” ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแค่คิด เห็นได้จากระบบการศึกษา “ในห้องเรียน” ที่นับวันจะทำให้เด็กเกิดความเครียด เรียนรู้กันเพียงเพื่อทำข้อสอบ แต่กระบวนการคิดและตัดสินใจกลับบกพร่อง หรือเรียกได้ว่ารู้เฉพาะตัวหนังสือที่อยู่ในตำรา แต่สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวทั้งประวัติศาสตร์ วิถีชุมชน ตลอดจนภูมิปัญญาที่ดำรงอยู่มาช้านานกลับถูกละทิ้งมากขึ้นทุกทีๆ
ตัวอย่างจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ในประเด็นเรื่องความเป็น “ชนบท-เมือง” กระทั่ง “ความเลื่อมล้ำทางสังคม” กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง สร้างอารมณ์ปลุกปั่น เกลียดแค้นกันต่างๆนาๆ อาศัยความไม่เข้าใจของระบอบสังคมไทย ตีความอย่างที่ตัวเองต้องการ
เมื่อระบบการศึกษาในห้องเรียนยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุด กระบวนการเรียนรู้ “นอกห้องเรียน” จึงต้องเข้มข้น โดยเฉพาะการสร้างเสริมประสบการณ์ในวิถีชนบทให้แก่เยาวชนในระบบการศึกษา ซึ่ง “ค่ายเปลี่ยนคน คนเปลี่ยนความคิด” โดยมูลนิธิโกมลคีมทองนี่เองที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ส่งเสริมให้เป็นกิจกรรมสำหรับการเรียนรู้ในช่วงปิดภาคเรียนที่ผ่านมา
ไฮไลต์ของโครงการนี้อยู่ที่การลงพื้นที่ของชุมชนต้นแบบ หรือชุมชนที่เยาวชนเห็นว่าควรจะเข้าไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อสะท้อนความคิดและทำกิจกรรมร่วมกัน
“ที่ปรากฏเห็นได้อย่างขัดเจนและเป็นรูปธรรม คือ กิจกรรมได้สร้างเยาวชนที่มีความมุ่งมั่นและมีจิตอาสาที่จะทำงานค่าย โดยโครงการนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการสนับสนุนโครงการค่ายอาสาพัฒนาสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายการทำงานค่าย การพัฒนาศักยภาพของแกนนำต่อยอดจากค่ายเดิม ตอกย้ำแนวคิดการทำค่ายโดยเน้นการมีส่วนร่วมกับชุมชนให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ ที่จะสามารถเข้ามามีบทบาทในการทำประโยชน์เพื่อสังคม เสมือนเป็นอีกพื้นที่หนึ่งในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดีๆ เกิดพื้นที่เครือข่ายในแต่ละภูมิภาค ทั้งยังมีการติดตามเพื่อเก็บข้อมูลเด็กค่ายที่ได้รับทุนจากโครงการว่ามีการพัฒนาและนำประสบการณ์จากการทำงานค่ายไปใช้ในชีวิตการทำงานได้อย่างไรบ้าง” วีรพงศ์ เกรียงสินยศ กรรมการบริหารแผนสนับสนุนโครงการเปิดรับทั่วไปและนวัตกรรม ได้กล่าวอธิบายแก่นของกิกรรม
ส่วนในมุมมองของเยาวชนผู้ร่วมกิจกรรมเอง ต่างบอกถึงความประทับใจกับการเรียน “นอกห้อง” ชนิดเป็นเสียงเดียวกัน ด้วยเพราะพวกเขามองประสบการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่หาซื้อไม่ได้ตามห้างสรรพสินค้า ทั้งกิจกรรมที่ต่างร่วมลงแรงก็ยังสร้าง “ความเปลี่ยนแปลง” ที่เกิดขึ้นภายในจนรู้สึกได้
“เอ็ท” สุชาติ แย้มปราศรัย บัณฑิตหมาดๆจากรั้วมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่าผลจากการออกออกค่ายและเรียนรู้ชีวิตในชนบทที่บ้านแม่คำปอง ต.ห้วยแก้ว อ.แม่อ่อน จ.เชียงใหม่ สอนให้เขารู้ถึงชีวิตที่เรียบง่ายตามวิธีของความพอเพียง เช่นเดียวของการวางแผนในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันอย่างเป็นระบบ ซึ่งถูกบ่มเพาะเมื่อครั้งพบความไม่สะดวกสบายในชนบท ดังนั้น การจัดลำดับความสำคัญและมีสติอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่เขาติดตัวมาโดยปริยาย แม้จะกลับสู่สังคมเมืองแล้ว
“ที่ผมชอบมากคือกิจกรรมที่ทำให้พวกเราได้ปฏิสัมพันธ์กับชุมชน เวลาเรียนในห้องทุกคนรู้ว่าวิถีชีวิตชนบทเอื้อเฟื้อกว่าสังคมเมือง แต่หน้าตาเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้เลย แต่เมื่อผมไปทำค่ายหนนี้ มีกิจรรมหนึ่งช่วงเกือบถึงเวลาอาหารเย็น พวกเราถูกวางกติกาว่าแต่ละกลุ่มจะได้รับเพียงเนื้อหมูและข้าวสารเท่านั้น ขณะที่วัตถุดิบอื่นๆที่ใช้ปรุงอาหารอาทิ เครื่องปรุง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หม้อ ฯลฯ ต้องไปยืมจากคนในชุมชน เวลานี้เองที่เราได้คุยกับชาวบ้าน และทราบถึงประวัติศาสตร์ชุมชน รู้ถึงขนบธรรมเนียมและความสุขอย่างง่ายในแต่ละวัน”
“บางทีเดินไปยืมหม้อมาทำกับข้าว แต่คุยไปคุยมากลับยาวจนลืมหิวไปเลย” เอ็ทเล่าพลางหัวเราะ ก่อนจะบอกถึงความประทับใจอีกอย่างคือ การสร้างนิสัยตั้งประเด็นปัญหาและแสวงหาทางแก้ไขไปพร้อมๆ กัน “เมื่อมองรอบตุวเราจะเห็นว่าที่ที่เราวนเวียนอยู่เป็นประจำมีปัญหาและสามารถปรับแก้ไขให้ดีขึ้นไดหรือไม่ อาทิ ห้องเรียนของเราอาจทำความสะอาดได้ดีกว่านี้ หรือถนนเส้นนี้ในมหาวิทยาลัยทำไมเต็มไปด้วยขยะ เราจะเกิดการตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบ เพื่อที่จะพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น”
“พอกลับมาสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ผมมองว่าปัญหาทุกเรื่องสามารถแก้ไขได้ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องยากอะไรมากนัก แต่ที่สำคัญคือเราต้องมองให้เห็นปัญหา และหาทางจัดการกับมันให้ได้” เอ็ทอธิบาย
ส่วนประสบการณ์ของ สมคิด พินิจ (เอฟ) จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติเอเชีย-แปซิฟิก ที่พากลุ่มชมรมค่ายอาสาพัฒนาชุมชนไปทำกิจกรรมถึงโรงเรียนบ้านหนองทัพ ต.เก่าขาม อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เล่าว่า แต่เดิมตัวเองเป็นคนเครียดเมื่อเจอกับงานหรือปัญหาที่รุมล้อมเข้ามา แต่เมื่อได้สร้างประสบการณ์จากงานค่าย ก็กลับกลายเป็นคนใจเย็นขึ้น พร้อมที่จะทำงานหนักโดยไม่กังวลจนเกินไป “เพราะรู้ว่าทุกปัญหามีทางออก ขอแค่เรามีสติและทำให้เต็มที่ แรกๆผมก็คิดว่าเราคงทำไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้ไม่แล้ว เมื่อตั้งใจทำไปเรื่อยๆ มันก็เสร็จ ลงค่ายครั้งนี้เราได้ทั้งเรียนรู้และสร้างไปพร้อมๆกัน”
ขณะที่ “รันดร์” นิรันดร์ ฉายจรุง จากรั้วมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ บอกว่า หลังทำงานค่ายหนนี้ เขากลายเป็นคนที่เปิดใจยอมรับความเห็นของผู้อื่นมากขึ้น ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่อายุน้อยกว่า เพราะสิ่งสำคัญคือการพูดคุยด้วยเหตุและผล
“จากเดิมเราก็มั่นใจในตัวเรา เวลารุ่นน้องพูดอะไรก็ไม่ค่อยฟัง แต่เมื่อทำงานร่วมกัน เจอปัญหาที่ไม่เคยพบมาก่อนร่วมกัน เราก็ฟังมากขึ้น ไม่คิดว่าเราเป็นรุ่นพี่แล้วน้องๆ ต้องเชื่อเราตลอด เหมือนกับการสอนประชาธิปไตยนอกห้องเรียน ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน พูดกันโดยใช้เหตุผล เราถอยคนละก้าวและเปิดใจเข้าหากัน ทำเช่นนี้พอตกลงกันได้ก็เกิดความสามัคคี งานที่เป็นอุปสรรคก็จัดการได้เร็วขึ้น”
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
update: 15-06-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: อรไท บัวทอง