จุดเปลี่ยนประเทศไทย

Love to Change

 

จุดเปลี่ยนประเทศไทย

          การมองหาหนทางแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับความวุ่นวายในบ้านเมืองเวลานี้ เชื่อว่าอยู่ในจิตใจทุกดวงของคนไทยทั้งชาติ ไม่ว่าจะรักหรือชมชอบสีอะไรเป็นพิเศษก็ตาม

 

          เพราะไม่ว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน จะเกิดวิกฤตสักกี่ครั้ง เราต้องยอมรับว่า สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ คนไทยมีประเทศไทยหรือที่นี่เท่านั้นเป็นบ้านที่ต้องอยู่ร่วมกัน

 

          ความอยู่รอดของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย แต่อาจจะมีความเห็นที่แตกต่าง ในรูปแบบ วิธีการ และทิศทาง

 

          เสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเวลานี้ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เพราะเขา เชื่อว่า รูปแบบหรือข้อเรียกร้องจะทำให้ประเทศไทยดีกว่าเดิม ในขณะที่มีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย

 

          แต่ถามว่า .. เขาอยากเห็นประเทศไทยดีกว่าที่อยู่ไหม

          คำตอบคือ ..แน่นอนที่สุด

 

          แล้วจุดลงตัวระหว่างฝักฝ่ายที่เห็นไม่ตรงกัน..อยู่ตรงไหน?!? นับเป็นหน้าที่ที่คนไทยทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันมองหาต่อไป

 

          อย่าท้อแท้ อย่าหมดกำลังใจ และไม่ควรยอมแพ้ง่ายๆ เพราะหัวใจสำคัญของการปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงประเทศไทยนั้น อยู่ที่ “การมีความฝันร่วมกัน”

 

          ฝันที่อยากเห็นประเทศไทยน่าอยู่ที่สุดในโลก คนไทยทุกคนมีสุขภาวะที่ดี เยาวชนไทยเชาว์ปัญญา องค์ความรู้ที่ก้าวไกลสอดคล้องกับโลกยุคใหม่ สังคมไทยเต็มไปด้วยประชากรที่มีคุณธรรมรู้จักเสียสละ เห็นแก่ส่วนรวม ระบบการเมืองมีเสถียรภาพ เพราะผู้บริหารบ้านเมืองมีธรรมาภิบาล กระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งพาเศรษฐกิจสดใส เป็นไปตามพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการพึ่งพาตนเองได้

 

          เมื่อมีความฝันแล้ว ก็จะทำให้เกิดจินตนาการ และแนวคิดในการลงมือกระทำ ซึ่งการจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ดี หรือประสบความสำเร็จ ก็ต้องมีคำว่า “รัก” เป็นองค์ประกอบด้วย เหมือนที่มักจะมีการกล่าวว่า อาหารจะอร่อยจะต้องหยอดความรักและความใส่ใจเข้าไปด้วย หรือบ้างก็บอกว่า การทำอะไรด้วยความรักสิ่งที่ออกมาก็จะเจือปนไปด้วยความดีงามความอ่อนโยน และความภาคภูมิใจนั่นเอง

 

          สรุปได้ว่า หากสังคมใด “รัก” ที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยความฝันว่าสังคมใหม่จะดีกว่าเดิม โจทย์ปัญหาหรือ เงื่อนไขที่จะตามมาก็เป็นเรื่องจิ๊บๆ

 

          ผมไม่ได้ “ยกเมฆ” สร้างฝันลมๆ แล้ง หรอกนะครับ แต่มีตัวอย่างชุมชน และสังคมที่ใช้ความรักที่อยากจะเห็นสังคมหรือชุมชนของเขาน่าอยู่ ดำเนินการเปลี่ยนแปลงสังคมของเขาให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้วครับ ซึ่งผมก็รู้สึกว่า…อืมมม จริงแฮะ หากคนในบ้านไม่รู้สึกว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไร แล้วใครจะยื่นมือเข้าไปทำได้จริงไหมครับ

 

          กรณีของโครงการ “เชียงใหม่เอี่ยม” ที่มีการหยิบยกขึ้นมานำเสนอในที่ประชุมเครือข่ายปฏิรูปประเทศไทยเมื่อปลายเดือนมีนาคมนี้ โดย ณัฐพงษ์ จารุธรรมพงศ์ แห่งสสส.หรือสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ถือเป็นการตอกย้ำว่า ความรักที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นปัจจัยสำคัญสู่การปฏิรูป

 

          คุณณัฐพงษ์ เล่าว่า จังหวัดเชียงใหม่เป็นตัวอย่างของเมืองใหญ่ที่มีวัฒนธรรม ประเพณีที่โดดเด่น ชาวเมืองมีรายไดสำคัญจากการที่เชียงใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยว คนเมืองเชียงใหม่จึงสำนึกรู้เสมอว่า การทำให้เชียงใหม่เป็นเมืองน่าอยู่ตลอดไปเป็นทางรอดของพวกเขา

 

          อย่างไรก็ตาม คนเชียงใหม่รักเชียงใหม่ แต่กลับไม่รู้ว่า จะแสดงความรักต่อบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองอย่างไรเพื่อช่วยให้เชียงใหม่ดีขึ้น

 

          ฉะนั้น นอกจากความรักแล้ว เราต้องคิดต่อให้ได้ว่าอะไรและอย่างไร จึงเรียกว่ารักแท้ รักประสบผลสำเร็จ มิใช่แค่รักลมๆ แล้งๆ รักไร้สาระ

 

          สิ่งที่คุณณัฐพงษ์ ผู้ขับเคลื่อนโครงการเชียงใหม่เอี่ยมกระทำคือ หาโจทย์ปัญหาเสนอต่อชาวเชียงใหม่ว่า ความรักที่เป็นรูปธรรมนั้นควรจะเป็นอย่างไร และเมื่อถอดโจทย์ออกมาก็พบว่า

 

          ประการแรกการลดปริมาณขยะ เพื่อช่วยให้เมืองเชียงใหม่น่าอยู่ สะอาด ถูกสุขลักษณะ สบายใจผู้อยู่ สบายตาผู้เห็น

 

          ประการที่สอง การตั้งบ่อดักไขมัน เพื่อลดปัญหามลพิษจักรยานในวันหยุด

 

          ประการที่สาม การอนุรักษ์ป่าไม้ และป่าต้นน้ำ

 

          ความรักที่เป็นรูปธรรมทำให้คนเชียงใหม่ลงมือทำ ได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง มากน้อยขึ้นอยู่กับระดับความรักปริมาณความสนใจของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป เพราะมาตรฐานรักของมนุษย์ไม่สามารถวัดเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวนั่นเอง

 

          แต่อย่างน้อย ความรักที่ได้ถูกขับเคลื่อนในการทำให้เชียงใหม่น่าอยู่นั้น ก็ได้รับการยอมรับแล้วว่า การแสดงความรักต่อสังคมหรือชุมชนของตนเองนั้นทำได้ไม่ยาก และน่าจะจีรังยั่งยืนแน่นอนเพราะเราทำมันด้วยความรักเป็นพื้นฐาน ไม่ได้ทำตามแฟชั่นหรือมีใครมาบังคับ ขอร้อง ..จริงไหม

 

          การรักที่จะเปลี่ยนแปลง ย่อมต้องมีเหตุผลเป็นเครื่องประคับประคอง แตกต่างจากรักแบบไม่ลืมหูลืมตา หรือหลับหูหลับตารักโดยไม่สนใจความถูกต้องเหมาะสมนะครับ เพราะรักเยี่ยงนี้น่าจะเป็นความหลง หรือความนิยมจนขาดสติเสียมากกว่า

 

          บ้านเมืองทุกวันนี้ มีการเรียกร้องหาจิตสำนึกกันตลอดเวลาถ้าหากเราแยกแยะไม่ออกระหว่าง “รัก” กับ “หลง” การเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า หรือการปฏิรูปสังคมหรือชุมชนของตัวเองยอมบิดเบี้ยวหรือไปไม่ถึงฝั่งฝันนะครับ

 

          ดังนั้น รักแล้วก็อย่าลืมพิจารณาด้วยว่า การแสดงความรักของตัวเอง จะไปสร้างปัญหา หรือความเดือดร้อนให้ใครส่งผลกระทบในด้านลบกับองค์กรหรือชุมชนอื่นๆ หรือไม่

 

          การเผาขยะเพื่อรักษาความสะอาดในชุมชนตนเอง แต่ควันพิษสร้างปัญหาให้กับชุมชนอื่นๆ โดยรวม ตัวอย่างความรักแบบนี้ถือว่าเป็นพิษภัย เหมือนปากบอกว่ารักประเทศไทย แต่พฤติกรรมตรงกันข้าม มันก็เท่ากับทำร้ายประเทศไทย..เห็นๆ

 

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

 

Update: 09-04-53

อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร

Shares:
QR Code :
QR Code