จากเซนไดถึงไทยแลนด์ เรียนรู้รับมือภัยพิบัติ
นับเป็นงานใหญ่สมกับชื่องานการประชุมสมัชชาปฏิรูประดับชาติครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 24-26 มีนาคมที่ผ่านมาที่อิมแพคเมืองทองธานี นอกจากงานจะยิ่งใหญ่ คึกคักด้วยเครือข่าย และชุมชนต่างๆ แล้ว เนื้อหาสาระของการประชุมก็หลากหลาย เรียกว่ารักพี่ก็เสียดายน้อง เลือกไม่ถูกเลยว่าจะเข้าห้องไหนดี อะไรๆ มันก็อยากจะเห็นอยากจะฟังไปหมด
ส่วนบทสรุปจากงานนี้ ก็อยู่ที่ใครจะไขว่คว้าไปดำเนินการ เพราะลำพังเราจะหวังให้การปฏิรูปประเทศเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เรื่องยากๆ แบบนี้ก็คงจะไม่บรรลุเป้าหมาย อีกอย่างถ้าเราฝากความหวังในการขับเคลื่อนปฏิรูปไว้กับคนใดคนหนึ่งในองค์กร หรือสถาบันใดก็ตาม งานมันก็คงจะไม่เดินหรือสะดุดหกล้มกลางทาง เอาล่ะ! กลับมาที่สาระที่อยากจะนำมาบอกต่อ หรือเผยแพร่สะท้อนไปให้ไกลดีกว่า ว่า การมีชุมชนที่เข้มแข็ง และรู้จักติดอาวุธทางปัญญานั้นเป็นทางออกของการขับเคลื่อนประเทศไทยให้น่าอยู่ครับ
ผมขึ้นหัวข้อ..จากเซนไดถึงไทยแลนด์..คงเดาออกว่าต้องเกี่ยวกับภัยพิบัติสึนามิที่ญี่ปุ่น ซึ่งจนทุกวันนี้ ก็ยังหาข้อสรุปปัญหาการควบคุมสารกัมมันตภาพรังสีไม่ได้ สิ่งที่น่าสนใจจากงานประชุมสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 1 คือเมื่อวันที่ 24 มีนาคม มีการจัดประชุมวิชาการว่าด้วยเรื่อง “จากเซนไดถึงไทยแลนด์ เมื่อภัยพิบัติธรรมชาติและภัยพิบัติจากน้ำมือมนุษย์ กลายเป็นปัญหาใกล้ตัว”โดยคณะกรรมการเครือข่ายผู้เสียโอกาส คนจนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อการปฏิรูป และเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) มีสาระที่น่าสนใจทีเดียว
เริ่มจาก ดร.เสรี ศุภราสถิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่กล่าวว่า สิ่งที่เราพบจากการเกิดสึนามิที่เซนไดคืออาคารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังอยู่ได้ แม้แผ่นดินไหวมาก แสดงว่ากฎกระทรวงอาคารดีมาก ความเสียหายรุนแรงที่ญี่ปุ่นเกิดจากภัยขั้นที่สองมากกว่า เช่น สึนามิ ไฟไหม้ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แม้ญี่ปุ่นจะรู้ดีเรื่องระบบป้องกันสึนามิแต่ก็พบว่ายังไม่เพียงพอ ขณะที่ประเทศไทยออกมายอมรับว่าระบบป้องกันยังไม่มี การเสียชีวิตจำนวนมากญี่ปุ่นอยู่ระหว่างกู้ซาก ซึ่งต้องมาพิสูจน์ว่า เสียชีวิตจากคลื่น แผ่นดินไหว หรือไฟไหม้ แต่ของไทยอาจเกิดจากการตกใจวิ่งรถชน อาคารถล่ม
“ประเทศไทยยังขาดระบบฐานข้อมูล และขาดการบูรณาการของหลายหน่วยงาน เหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ญี่ปุ่นคาดการณ์ความรุนแรงผิดพลาด แม้จะสร้างระบบป้องกันไว้มากมาย เพราะในอดีตเคยเกิดเหตุการณ์บริเวณนี้มาแล้ว 2 ครั้ง จึงสร้างเขื่อนมากั้นเพราะเขารู้ล่วงหน้า มีระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวเพื่อรับสัญญาณได้ทันที ซึ่งจะรู้ภายใน 180 วินาที ระบบต่างๆ จะตัดหมด และอาคารสาธารณะต้องรองรับแผ่นดินไหว ซึ่งอนาคตเป็นสิ่งที่เราต้องระวังไม่ใช่แค่ฟิลิปปินส์ หรือพม่า เช่น ชุมชนบ้านน้ำเค็มต้องรู้ว่าเมื่อคลื่นมาต้องอพยพหลังจากประกาศจากศูนย์เตือนภัยพิบัติภายใน 10 นาที หลังจากนั้นอีก 50 นาทีคลื่นจะมาทางเขา ซึ่งเป็นข้อมูลจากเหตุภัยพิบัติที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2547 สิ่งเหล่านี้ต้องให้ชุมชนได้เรียนรู้” ดร.เสรี กล่าว
ขณะที่ นายประยูร จงไกรจักษ์ ตัวแทนชุมชนบ้านน้ำเค็ม บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเรารู้ได้เองว่ามีบทเรียนอะไร ถ้าไม่ลุกขึ้นมาช่วยเหลือตัวเอง อีกกี่สิบปีก็เป็นอย่างนี้ เราทุกคนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หายไปจากโลกนี้ มีแต่ความรุนแรงมากขึ้นจากการนำเสนอของสื่อทั่วโลก เดิมไม่เคยรู้จักสึนามิ แต่ในปี 2547 พี่น้องมอร์แกนรู้ว่าจะเกิดสึนามิหลังแผ่นดินไหว สิ่งที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นเชื่อว่าระบบอพยพการเตือนภัยญี่ปุ่นทำได้ดีสุด แต่ธรรมชาติเราไม่สามารถกำหนดได้ ดังนั้นจึงต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอด้วยการซ้อมอพยพปีละ 2 ครั้ง ซ้อม 20 นาที หลังจากสัญญาณเตือนภัยดัง ระบบการเตือนภัยของเราไม่น่านำหน้าญี่ปุ่น ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะอยู่ยังไง ควรมีระบบเตือน มีมุมมองที่กว้างกว่าสึนามิ
ส่วน พล.ร.ต.ถาวร เจริญดี ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า ที่บอกว่าประเทศไทยไม่มีระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวเป็นเรื่องจริง แต่เรามีสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหว ซึ่งไม่มีระบบการเตือน อย่างญี่ปุ่นองค์กรหลักๆ ไม่ว่ารถไฟฟ้าจะตัดอัตโนมัติ ข่าวออกภายใน 1-2 นาที ต่างจากเรา ในช่วงที่เกิดสึนามิญี่ปุ่น ที่ศูนย์เตือนภัยเชื่อมโยงข้อมูลสำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น สำนักเตือนภัยฮาวาย อเมริกา ช่วงนั้นไม่กี่นาทีเราได้รับข้อความจากญี่ปุ่น และอเมริกา ข้อมูลอ้างถึงไม่กระทบกับไทยเลย แต่สื่อออกไปว่ามีผลกระทบบ้าง แต่ไม่มาก เราพยายามสร้างเครื่องมือเตือนภัยไว้ที่ต่างๆ และพยายามให้ชุมชนบริหารจัดการกันเอง ผ่านหอกระจายข่าวเตือนภัยกันเองได้ ให้หน่วยงานที่เก็บข้อมูลอยู่แล้วเข้ามา รวมถึงกรมชลประทานที่จะส่งข้อมูลเรื่องน้ำเข้ามา
นายมนตรี ชนะชัยวิบูลย์วัฒน์ ตัวแทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกล่าวว่า ในฐานะเราเองเป็นผู้ปฏิบัติการ ถามว่ากรมป้องกันหรือเปล่า หรือแค่ฟื้นฟู เราอยากเห็นชุมชนเข้มแข็งช่วยเหลือตัวเองได้ในเบื้องต้นก่อน จึงสนับสนุนการตั้งกองทุนเพื่อสร้างระบบการเตือนภัยขึ้นมาในชุมชน ซึ่งทางกรมเองได้มีการส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็ง นำความรู้และวิธีการจัดการเมื่อเกิดเหตุจะไปที่หลบภัยอย่างไร อย่างชุมชนน้ำเค็มมีการซ้อมปีละ 2ครั้ง และอยากเห็นกระจายไปทั่วประเทศไทย อบต. อปท. ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าจะมาสนับสนุนตรงนี้ด้วย ซึ่งทางกรมสนับสนุนตรงนี้อยู่แล้ว กรณีเซนไดเราต้องเรียนรู้จากบทเรียนจะเป็นจุดเริ่มต้นของเราในการลดความเสี่ยง เพราะบ้านเรายังขาดการนำข้อมูลไปใช้ ยังต่างคนต่างทำ
สรุปได้ว่า ปัจจุบันนี้ คนในพื้นที่ทั้งในส่วนชุมชนไม่รู้ถึงภัยที่แท้จริง ไม่รู้วิธีรับมือ ดังนั้นเราต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วม วางแผนได้อย่างจริงจังในระดับท้องถิ่นและจังหวัด พัฒนากลไกระดับชาติให้เอื้อต่อความพร้อมป้องกันความเสี่ยง ที่สำคัญไม่ใช่แค่เตรียมความพร้อม แต่ต้องปรับวิถีชีวิต การใช้ทรัพยากรน้ำ ที่ดิน ป่า มาอยู่ในแผนการรับมือของชุมชนนั่นเอง
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดย นายใฝ่ฝัน ปฏิรูป