จนกว่าจะหมดแรง เพื่อรักษาดนตรีไทย
ดนตรีพื้นบ้านกับภาษาพื้นถิ่นเป็นแหล่งเรียน รู้ที่เกื้อหนุนกัน ของตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์
เสียงเพลงที่เร่งเร้า จังหวะที่เป็นเอกลักษณ์ ความนุ่มนวลของท่วงทำนองนำพาเข้าไปในศูนย์อนุรักษ์ดนตรีไทย โรงเรียนบ้านอำปึล โดยมีอาจารย์สังคีตย์ วิทยากรประจำกลุ่ม ซึ่งเป็นปราชญ์ท้องถิ่นของบักได
อาจารย์สังคีตย์ เล่าให้ฟังว่า “จุดเริ่มต้นการสอนดนตรีไทยในระดับโรงเรียน จริงๆ ต้องย้อนกลับไปกว่า 20 ปีที่แล้ว ประมาณปี 2530 พระเทพฯ ทรงเห็นว่า ดนตรีไทยกำลังจะเสื่อมหายไป พระองค์จึงดำริว่า ควรมีโครงการอนุรักษ์ดนตรีไทยขึ้นมา รัฐบาลในสมัยนั้นพอได้ฟังพระราชดำริ จึงเห็นควรว่า โครงการนี้น่าจะมอบให้กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบ จากนั้นจึงได้เกิดโครงการสอนดนตรีไทยในระดับโรงเรียนขึ้นมา ในการทำงานนั้น แรกๆ ก็ได้รับการส่งเสริมกันอย่างกว้างขวาง หากว่า พอเวลายิ่งผ่าน ไป ก็เหลือเพียงไม่กี่โรงเรียนที่ยังคงมีการสอนดนตรีไทยเป็นวิชาเสริมอยู่”
โดยหนึ่งในนั้น มีโรงเรียนบ้านอำปึลอยู่ ยังคงยืนหยัดมาถึงทุกวันนี้ อาจารย์สังคีตย์เล่าต่อไปว่า “ยี่สิบกว่าปีมานี้ ผมไม่เคยย่นย่อ ใครไม่สอน ผมไม่สน ผมตั้งใจแล้วว่า จะอนุรักษ์ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ กระทั่งปี 2550 กระทรวงศึกษาฯ ต้องการฟื้นฟูดนตรีไทยอีกครั้ง มีการส่งเสริมให้ทุกโรงเรียน เปิดการสอนดนตรีไทย ตอนนั้นเอง ผมถึงคิดว่า ความพยายามของเราไม่สูญเปล่า จากงบประมาณที่ได้มาในครั้งนั้นเอง ผู้บริหารโรงเรียนจึงได้จัดตั้งชมรมดนตรีไทยขึ้นมา”
โดยอาจารย์สังคีตย์ เล่าเสริมต่อว่า โรงเรียนจำนวนมากเลิกสอนดนตรีไทยไปแล้ว พอกลับมาฟื้นฟูใหม่อีกรอบ ก็เหมือน ขาดช่วงขาดตอน ไม่มีคนที่มีความรู้ด้านนี้จะมาสอนดนตรีไทยให้แก่เด็กๆ ได้ ตรงนี้จึงทำให้เกิดความคิดที่จะสร้างกระบวนการเรียนรู้แบบรุ่นสู่รุ่น
“เพลงไทยเดิมกับเพลงเขมรดั้งเดิมนั้น สำเนียงดนตรีมีความแตกต่างกันน้อยมาก อย่างเขมรพายเรือ นี่เหมือนกันเลย ส่วนสำเนียงเพลงพื้นเมืองของชาวลาวก็มีบางส่วนที่เรานำเอามาปรับใช้ เพียงแต่ว่าไม่เด่นชัดเหมือนเพลงพื้นเมืองของเขมร เวลาสอนเด็กผมจะเน้นจากง่ายไปยาก สอนทั้งทฤษฎี และการปฏิบัติ เด็กๆ เขาจะได้รู้จริงและสามารถถ่ายทอดต่อไปได้อย่างถูก ต้อง” อาจารย์สังคีตย์ เล่า
ขณะที่นักเรียนคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ที่ยากที่สุดคือการเรียนโน้ตเพลงไทย ถ้าผ่านตรงนี้ได้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นฝึกซ้อม ที่สำคัญคือพอตัวเองเป็นแล้ว จะมีการถ่ายทอดความรู้นั้นให้แก่เด็กรุ่นน้อง หรือเรียกว่า ‘พี่สอนน้อง’ ทำให้เกิดการแลก เปลี่ยนเรียนรู้
ด้านอาจารย์สนิท พองนวล ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านอำปึล กล่าวเสริมว่า “อีกสิ่งที่ชมรมเราภูมิใจคือ เราเคยเข้าประกวดในระดับภาค และได้รับรางวัลชมเชย ที่สำคัญคือ โรงเรียนเราใช้เฉพาะเด็กในพื้นที่ และเด็กเล็กไปแข่งกับเด็กที่โตกว่า ทั้งในงานต่างๆ ที่เป็นหน้าเป็นตาชุมชน ก็ไปเล่นให้หมด ตรงนี้เราถือว่า เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่เราต้องบริการให้แก่สังคม”
โดยกลุ่มอนุรักษ์ดนตรีไทยได้รับการสนับสนุนจาก 3 ส่วน คือหนึ่ง ภาคประชาชน สอง กระทรวงศึกษาธิการ สาม อบต.บักได โดยส่วนแรกจะสนับสนุนด้านการอำนวยความสะดวก อีก 2 ส่วนที่เหลือจะสนับสนุนในเรื่องงบประมาณ สนับสนุนเครื่องดนตรี หรือไม่ก็สนับสนุนเรื่องการดูงานต่างๆ
ในวันนี้ อาจารย์สังคีตย์ เกษียณแล้ว หากแต่ยังคงไม่หยุดเส้นทางของตัวเองไว้แค่นั้น ทั้งยังมองว่า การเกษียณยิ่งเป็นการเพิ่มพูนโอกาสในการสอน เพราะมีเวลามากขึ้น
นอกจากนี้ อาจารย์สังคีตย์ มุ่งประเด็นไปที่ เด็กเล็ก แม้จะสอนยาก แต่หากเป็นแล้ว พวกนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสืบทอดภูมิปัญญานี้ ซึ่งถ้าเทียบกับเด็กโตที่หลงในดนตรีสมัยใหม่ ก็นับว่าคุ้มแรงเหนื่อย
“แผนงานของเราจึงเน้นไปที่การปลูกฝังตั้งแต่ยังเล็กๆ เป็นหลัก ส่วนในระดับมัธยม ก็เอาพอให้เขารู้หลักรู้ทฤษฎี แต่ถ้าใครสนใจจริง เราก็สนับสนุนเต็มที่ ตัวผมเองก็จะทำจนกว่าจะหมดแรง สำหรับเด็กๆ ที่ผ่านการสอนจากผม ผมมีความเชื่อลึกๆ ว่า เขาเหล่านี้จะไม่ทิ้งดนตรีไทย” อาจารย์สังคีต สรุป
ที่มา : สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สน.3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ