คุณใช้หน้าจอเป็นพี่เลี้ยงลูกหรือเปล่า
ที่มา : หนังสือคุณใช้หน้าจอเป็นพี่เลี้ยงลูก ดยศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
แฟ้มภาพ
คุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้หน้าจอโทรทัศน์หรือแท็บเล็ตเป็นพี่เลี้ยงลูกหรือเปล่า หลายบ้านมักเปิดทีวีให้มีเสียงเป็นเพื่อนเวลาอยู่ในบ้าน บ่อยครั้งก็นั่งดูละครหรือรายการโทรทัศน์กันเผลอๆ ลูกบางคนก็ได้ดูได้ฟังเสียงทีวีมาตั้งแต่แบเบาะ หรือพ่อแม่อาจอุ้มลูกมาป้อนข้าวป้อนน้ำตรงหน้าจอกันเลยทีเดียว รวมถึงหน้าจอสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่เด็กๆ จะรู้วิธีกดปุ่มโทรทัศน์หรือรู้วิธีทัชสกรีนตั้งแต่ยังเล็กนัก แต่อย่าหลงลืมว่าสื่อและเทคโนโลยีเป็นดาบสองคมเสมอ และอย่าคิดว่าเด็กเล็กๆ นั้นไร้เดียงสากับคำพูดหรือเสียงต่างๆ ที่เขาได้ยินผ่านจอ
จะเป็นอย่างไรหากเด็กๆ เติบโตขึ้นมากับ “สาร” ต่างๆ ที่ส่งผ่านมาทางหน้าจอที่มีการทะเลาะ ด่าทอ เกรี้ยวกราด ลามก หรือการตีรันฟันแทง?
เด็กเล็กไม่รู้เดียงสาจริงหรือ
พ่อแม่อาจคิดว่าเด็กเล็กๆ จะไปรู้เรื่องอะไรกัน แต่การปล่อยให้เด็กได้รับรู้รับฟังหรือตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดหรือสถานการณ์จำลองเหตุทะเลาะเบาะแว้งจากรายการทีวีหรือละครทุกวี่วัน ก็สามารถส่งผลเสียให้เกิดกับอารมณ์และจิตใจของเด็กได้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เด็กสมัยนี้มีสภาพจิตใจผิดกับเด็กสมัยก่อนที่พ่อแม่จะร้องเพลงขับกล่อมลูกด้วยเสียงอ่อนหวาน แม้ว่าเด็กจะไม่เข้าใจความหมายของน้ำเสียง และลีลาได้
เด็กรู้จักความเครียดตั้งแต่ยังแบเบาะ
จากการศึกษาพบว่า เด็กสามารถรู้สึกและมีอารมณ์ร่วมไปกับความบีบคั้น กดดัน และความวิตกกังวลของบุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะพ่อแม่ อย่างเช่นเวลาที่พ่อแม่ทะเลาะกันเด็กอาจจะตื่นมาร้องไห้ด้วยความตกใจทั้งที่ไม่รู้ว่านี่คือการทะเลาะกัน เป็นต้น และเมื่อเด็กได้ดูทีวีหรือสื่อจากอินเทอร์เน็ตที่แพร่ภาพความก้าวร้าว เขาก็จะรู้สึกสับสนถ้าไม่มีผู้ใหญ่อธิบายว่านี่คืออะไร ก็อาจจะซึมซับและสะสมพฤติกรรมก้าวร้าวนั้นจนกลายเป็นทัศนคติที่ผิด
แม้แต่หนังการ์ตูนบางเรื่องก็ยังมีเรื่องของสงคราม การสู้รบการทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งเด็กอาจถูกหล่อหลอมให้เป็นไปตามพฤติกรรมเหล่านั้นได้
จากการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบด้านอารมณ์และพฤติกรรมความรุนแรงของAmerican Academy of Pediatrics พบว่า ความรุนแรงที่เห็นจากหน้าจอทีวีและสื่อต่างๆ นับวันยิ่งมีเพิ่มขึ้นและส่งผลร้ายต่อเด็กนัก นั่นคือทำให้เด็กสะสมอารมณ์หวาดกลัว ความวิตกกังวล ขี้สงสัย นอนไม่หลับ ฝันร้าย หรือซึมเศร้า และมีแนวโน้มจะแสดงความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงรายการต่างๆ ที่มีการแสดงออกของพฤติกรรมทางเพศก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นด้วย จะทำให้เด็กเรียนรู้พฤติกรรมทางเพศของผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควรจนชาชินกับเรื่องแบบนี้และพร้อมเลียนแบบ
พ่อแม่จึงควรต้องระวังการเสพสื่อผ่านจอทีวีหรือจออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งทางที่ดีที่สุดคือ การนั่งดูไปพร้อมกับลูก โดยปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
เคล็ดลับกฎทอง 4 ประการสำหรับลูก
1.ความแตกต่างระหว่างคนจริงกับตัวละคร
ต้องสอนให้ลูกรู้จักแยกแยะว่าตัวละครและคนจริงนั้นแตกต่างกัน เป็นก้าวแรกที่จะสอนให้ลูกรู้จักแยกแยะในขั้นต่อไป เพื่อให้ลูกปลอดภัยจากพิษภัยของการดูโทรทัศน์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์
2.ความแตกต่างระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องสมมติ
รายการบางรายการอาจนำมาใช้สอนเด็กให้เรียนรู้โลกจริงกับโลกสมมติได้ เช่น รายการที่มีการเล่านิทานประกอบภาพ หรือละครหุ่นสำหรับเด็ก พ่อแม่ต้องคอยบอกลูกว่าช่วงไหนเป็นเรื่องสมมติ ช่วงไหนเป็นเรื่องจริง ขั้นตอนนี้เป็นการสอนต่อจากข้อแรก เพราะหลังจากที่เด็กแยกแยะได้แล้วระหว่างตัวละครกับคนจริง เขาก็ควรจะรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องสมมติด้วย
3.ชี้ชวนให้ลูกดูรายการที่น่าดู
เราจะต้องหาเทคนิคที่จะดึงความสนใจของลูกให้ดูรายการที่เหมาะกับเขา ซึ่งก็คือขณะที่นั่งอยู่กับลูก พ่อแม่ควรอยู่ใกล้ๆ และคอยชี้ชวนให้ลูกดูในสิ่งที่ควรดู เช่น เห็นนกไหมลูก น่ารักไหม / ดูลิงนั่นสิ กินกล้วยใหญ่เลย เป็นต้นการทำเช่นนี้จะทำให้เด็กเกิดความคุ้นเคยกับคำแนะนำหรือคำชวนของพ่อแม่ และทำให้เขาสนใจในสิ่งที่เราเลือกและหยิบยื่นให้ และเราก็จะสามารถควบคุมคุณภาพของรายการโทรทัศน์ที่ลูกควรดูได้ด้วย
4.ควบคุมการเปิดปิดโทรทัศน์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต
ออกกฎของบ้านและกำหนดเวลาให้ชัดเจนในการดูทีวี และการเล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่เด็กยังเล็ก เช่น เมื่อจบรายการแล้วก็ควรอุ้มลูกไปที่ทีวีแล้วบอกว่า “จบแล้วปิดดีกว่านะ” เมื่อเรากดปุ่มปิดทีวีก็จะเป็นการสอนให้เด็กดูทีวีเป็นเวลา และไม่หมกหมุ่นกับจอตู้สี่เหลี่ยมมากไป และใช้วิธีนี้กับการเล่นอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตด้วย เช่น กำหนดว่าลูกจะเล่นได้เวลาไหนและมากน้อยเท่าไร ยกตัวอย่างเช่น ก่อนเวลาทานอาหารเย็นให้เตือนลูกล่วงหน้าว่าจะถึงเวลาทานอาหารเย็นแล้วอีก 10 นาที ให้วางแท็บเล็ตลง เพื่อเป็นการฝึกวินัยเบื้องต้น