ความไม่มั่นคงในที่ดินของคนไทย
สมพร ใช้บางยาง ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) พูดไว้ว่า "ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ที่ดิน จึงเป็นหลักประกันความมั่นคงในการทำมาหากิน ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยเท่านั้น"
เรื่องที่ดินเป็นปัญหาใหญ่และเรื้อรังมานาน และยังไม่มีหน่วยงานไหนมีการจัดทำข้อมูลด้านที่ดินได้อย่างเป็นระบบและถูกต้อง แม้แต่กรมที่ดิน และหน่วยงานของรัฐอื่นที่เกี่ยวข้อง ก็ขาดระบบข้อมูลอันเป็นที่น่าเชื่อถือได้ และด้วยการขาดข้อมูลที่ชัดเจนนี้เอง เป็นสาเหตุหนึ่งของความไม่เป็นธรรม นำมาซึ่งความไม่มั่นคง ในที่ดินของคนไทย และด้วยความเป็นผู้กุมระบบข้อมูลเรื่องที่ดินนี่เอง จึงทำให้การวางแผนการใช้ที่ดินหรือการที่รัฐจะประกาศอะไรออกมาจึงมักทำ ที่ส่วนกลาง เพียงการนั่งขีดเส้นบนแผนที่อยู่ที่กรุงเทพฯ (ส่วนกลาง) ก็จะทำให้ชีวิตประชาชนในต่างจังหวัดพลิกผันได้ในชั่วพริบตา
ผมจะขอแบ่งปัญหาเรื่องที่ดินออกเป็นสองประเภท คือ 1) ที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตหมู่บ้าน เขตเมือง ซึ่งประชาชน ตั้งถิ่นฐานมาช้านาน ความไม่มั่นคงของที่ดินประเภทนี้จะเกิดจากการกว้านซื้อที่ดินของนายทุน นักการเมือง หรือนายหน้าของนายทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากที่ดินบริเวณนั้นมีโครงการขนาดใหญ่ หรือมีแผนพัฒนาของรัฐด้วยแล้วละก็ การกว้านซื้อที่ดินจะเกิดขึ้นล่วงหน้า โดยที่ชาวบ้านไม่รู้ข่าวคราวมาก่อน ผมได้ พูดคุยกับชาวบ้านหลายจังหวัด ทุกภาคพบว่าที่ดินจำนวนมากถูกขายไปแล้ว นี่เป็นภัยเงียบที่เกิดขึ้นในทุกจังหวัดเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าโรคระบาด ยิ่งในปัจจุบันที่ดินมีราคาสูงขึ้น โอกาสที่จะซื้อที่ดินหรือไถ่ถอนคืน ยิ่งเป็นไปได้ยากยิ่ง
2) คือที่ดินในเขตป่า เกาะ ทั้งที่ชาวบ้านอาศัยอยู่เดิม แล้วทางการประกาศทับที่ หรือป่าเสื่อมสภาพ ซึ่งชาวบ้านบุกรุกเข้าไปอยู่ในภายหลัง ที่ดินประเภทนี้ไม่มีข้อมูลที่แน่นอนว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ดังนั้น เมื่อเกิดกรณีพิพาทระหว่างชาวบ้านกับรัฐคราใด ชาวบ้านจะเป็นผู้แพ้เสมอ เพราะรัฐอาศัยกฎหมายและข้อมูลจากรัฐเท่านั้น อีกทั้งการต่อสู้คดีเรื่องที่ดิน ต้องอาศัยหลักฐานหลากหลายรูปแบบ ทั้งการตั้งถิ่นฐาน ต้นไม้ อาสินที่ปลูก พื้นที่ทางจิตวิญญาณ ฯลฯ ในขณะที่ศาลไทยยอมรับเฉพาะเอกสารข้อมูลและกฎหมายของทางราชการเท่านั้น ดังนั้น คราใดที่รัฐมีนโยบาย จะนำที่ดินตรงไหนไปทำอะไร จะประกาศเขตอะไรขึ้นมา ชาวบ้านจึงเป็นผู้เสียเปรียบเสมอมา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น การกว้านซื้อที่ดินโดยนายทุนก็ยังเกิดขึ้นกับที่ดินประเภทนี้ด้วยเช่นกัน เพราะราคาถูกกว่า แถมจะได้ที่ดินมากกว่าที่ซื้อเพราะมีการบุกรุกถางป่าเพิ่มขึ้นในภายหลัง
ประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมา มีชาวบ้านซึ่งประสบปัญหาความไม่มั่นคงในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ได้รวมตัวกันแก้ปัญหาพัฒนาประสบการณ์กันอย่างต่อเนื่อง จนได้ข้อสรุปว่า "การจัดการข้อมูลเรื่องที่ดินต้องทำโดยชุมชนและท้องถิ่น แล้วพัฒนาข้อมูลนั้นไปสู่การจัดทำผังที่ดินรายแปลงและผังที่ดินรวม แล้วยกระดับไปสู่การจัดทำข้อบัญญัติท้องถิ่นเรื่องการใช้ประโยชน์จากที่ดิน"
กนกศักดิ์ ดวงแก้วเรือน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทา อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า ตำบลแม่ออนอาศัยอยู่ในเขตป่ามาช้านาน จนมีประสบการณ์ในการอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างพึ่งพาต่อกัน แต่รัฐอนุญาตให้ชาวบ้านอยู่อาศัยและทำกินบนที่ดินเพียงประมาณ 5,000 ไร่เท่านั้น เราพยายามต่อสู้เรื่อยมา เพราะมีพี่น้องเราอีกจำนวนมากอาศัยอยู่ในเขตป่าอีกประมาณ 9,000 ไร่
"เราจึงทำการสำรวจข้อมูลทั้งหนึ่งหมื่นสี่พันไร่ แล้วทำผัง วางกฎระเบียบให้สอดคล้องกับอาชีพของชาวบ้านบนหลักการของการอยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน เราเคยเรียกร้องให้มี พ.ร.บ.ป่าชุมชน แต่ไม่สำเร็จ ดังนั้นที่เราทำที่แม่ทาก็คือ เราจำลองให้เห็น พ.ร.บ.ป่าชุมชนฉบับแม่ทานั่นเอง ซึ่งในที่สุดรัฐก็ยอมรับและอนุญาตให้เราใช้ที่ดิน 9 พันกว่าไร่ได้อย่างสมบูรณ์ โดยนายกรัฐมนตรีเดินทางมามอบเอกสารสิทธิทำกินให้เราเมื่อเดือนเมษายน 58 ที่ผ่านมา เราใช้เวลาสร้างอำนาจ สร้างความรู้ สร้างรูปธรรมจากข้างล่าง เพื่อเปลี่ยนแปลงข้างบน" กนกศักดิ์ กล่าว
การแก้ปัญหาความไม่มั่นคงในการอยู่อาศัยและที่ดินทำกินโดยใช้การจัดทำข้อมูลที่ดินโดยชุมชน หรือ 'การแก้ปัญหาที่ดินแนวใหม่' ซึ่งสนับสนุนโดย พอช.นั้น เป็นยุทธศาสตร์การแก้ปัญหา ที่สำคัญของชาวบ้านในปัจจุบัน ซึ่งมีพื้นที่ดำเนินการกว่า 1,700 ตำบล ปัจจุบันได้เกิดความร่วมมือระหว่างสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการนำระบบ TCNAPGIS หรือการพัฒนาข้อมูลพื้นฐานตำบลด้านภูมิศาสตร์สารสนเทศมาสนับสนุนการจัดทำข้อมูลชุมชนและท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บนความเชื่อมั่นว่าการจัดทำข้อมูลที่ดินต้องทำโดยชุมชนร่วมมือกับท้องถิ่น จึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง นำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างถูกต้องเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปรข้อมูลไปสู่การจัดทำข้อบัญญัติท้องถิ่นและผลักดันให้เกิดการ แก้ปัญหาเชิงนโยบาย
อีกด้านหนึ่งได้มีการผลักดันเชิงนโยบายการแก้ปัญหาที่ดินโดยคณะกรรมาธิการปฏิรูปด้านสังคมฯ มี นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เป็นประธาน ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบในหลักการของสภาปฏิรูปแห่งชาติไปแล้ว 2 เรื่อง คือ เรื่องโฉนดชุมชน และกองทุนที่ดิน (ธนาคารที่ดิน) ซึ่งอยู่ในระหว่างยกร่างเป็นพระราชบัญญัติ
ว่ากันจริงๆ แล้ว กว่าจะเป็นโฉนดชุมชนและกองทุนที่ดินที่นำเสนอโดยคณะกรรมาธิการปฏิรูปด้านสังคมฯ ในวันนี้ แนวคิด องค์ความรู้และการปฏิบัติจริงก็มาจากชุมชน ไม่ต่างกับการเคลื่อนงานแก้ปัญหาที่ดินแนวใหม่ที่สนับสนุนโดย พอช. ดังกล่าวข้างต้น
ทั้งนี้ เพราะเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย เป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน เนื่องจากอำนาจในการจัดการรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลางหลายกระทรวงหลายกรมกองที่ขาดการประสานงานซึ่งกันและกัน ทำให้การถือครองที่ดินไม่เป็นธรรม ประชาชนร้อยละ 90 ถือครองที่ดินเฉลี่ยน้อยกว่า 1 ไร่ต่อคน ในขณะที่ประชาชนร้อยละ 10 ถือครองที่ดินมากกว่า 100 ไร่ต่อคน ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง และยังมีประชาชนกว่า 1.2 ล้านครอบครัวอาศัยอยู่ในที่ดินของรัฐ ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนกลุ่มนี้มีความมั่นคงในการอยู่อาศัยและที่ทำกิน จึงเสนอให้มีการออกโฉนดชุมชน และตั้งกองทุนที่ดิน เพื่อจัดหาที่ดินให้กับคนจนเช่าหรือเช่าซื้อ กองทุนที่ดินจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้คนจนมีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง
จะว่าไปแล้วแนวทางการแก้ปัญหาทั้งที่ถูกนำเสนอผ่านคณะกรรมาธิการปฏิรูปด้านสังคม (โฉนดชุมชนและกองทุนที่ดิน) และที่สนับสนุนการทำงานโดย พอช. และ สสส. (การแก้ปัญหาที่ดินแนวใหม่) ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือ การสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยและที่ทำกินให้กับคนจน โดยอาศัยเครื่องมือสำคัญเดียวกัน นั่นคือ การจัดทำระบบข้อมูลโดยชุมชนท้องถิ่น หากมีการประสานเข้าหากันเชื่อว่าจะเกิดพลังในการผลักดันสู่การแก้ปัญหาระดับนโยบายได้ดียิ่งขึ้น เป็นการร่วมกันคิดแยกกันทำ สู่เป้าหมายเดียวกัน
ที่มา: หนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต