ความสุขของชุมชน บนรอยยิ้มของผู้เฒ่า
หากเดินเข้าไปในหมู่บ้านตามต่างจังหวัด เราจะพบภาพผู้เฒ่าผู้แก่จำนวนไม่น้อยที่ไม่อยู่บ้านตามลำพัง ก็อยู่กับหลานในวัยเรียน โดยไม่มีหนุ่มสาวหรือคนวัยทำงานอยู่ในครอบครัวด้วย มองเผินๆ อาจไม่รู้สึกว่านี่คือปัญหา ปู่ย่า ตายายก็ช่วยเลี้ยงหลานเพื่อให้ผู้เป็นพ่อแม่ออกไปทำงานตามปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สภาพที่เกิดขึ้นในสังคมชนบท คือปัญหาที่ต้องเข้าไปดูแล
จารุวัฒน์ บุษมาลี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการ มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา (edf) บอกว่า ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการทำโครงการเสริมพลังเด็ก สานพลังชุมชนเข้มแข็ง ที่เข้าไปดำเนินการในโรงเรียน 45 แห่ง พื้นที่ 19 จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อสนับสนุนให้ชุมชนและเด็กร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อแก้ปัญหาในชุมชน เช่น ปัญหาสุขภาพในวัยเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งจากการลงพื้นที่ไปยังจังหวัดต่างๆ ยังพบว่าผู้สูงอายุและเด็กถูกปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่ด้วยกันจำนวนมาก และส่วนใหญ่คนทั้งสองวัยมีปัญหาเรื่องการสื่อสารกันเนื่องจากช่องว่างระหว่างวัย ด้วยเหตุนี้จึงต่อยอดกิจกรรมที่ทำมาเป็นโครงการผู้เฒ่ายิ้ม ให้เด็กกับคนแก่ได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน โดยเบื้องต้นได้นำร่องในโรงเรียนบ้านหนองแวงฮี ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี และโรงเรียนบ้านดงยางนารายณ์ บ้านนารายณ์ ต.จอมศรี อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี ซึ่งพบว่าสามารถทำให้คนแก่กับเด็กสื่อสารกันด้วยความเข้าใจมากขึ้น และผู้สูงอายุมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นด้วย
นายสุมิตร อินทเกษ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 เล่าว่า โรงเรียนบ้านดงยางนารายณ์ นอกจากทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อนำผลผลิตไปประกอบอาหารให้กับนักเรียนในโครงการอาหารกลางวันแล้ว โรงเรียนยังได้เชิญผู้สูงอายุในชุมชนมาสอนถักโคเช การสานหมวกจากตอกไม้ไผ่ และการทำไม้กวาดดอกหญ้า ให้เด็กๆ ในโรงเรียน และทุกวันพฤหัสบดีช่วงเย็น ก็จะให้เด็กๆ แกนนำและ อสม. นำเต้นแอโรบิกไม้พลองให้กับผู้สูงอายุ ได้ออกกำลังกาย หลังจากนั้นก็จะรับประทานอาหารร่วมกัน โดยนำเอาพืชผักจากที่ปลูกในโรงเรียนมาประกอบอาหาร ทำให้คนแก่ในหมู่บ้านได้พูดคุยกัน ปู่ย่าตายายได้ทำกิจกรรมร่วมกับหลานๆ ความสัมพันธ์ของผู้สูงวัยกับเด็กๆ ก็ดีขึ้น
“ความสัมพันธ์ในชุมชนดีขึ้น จากเดิมที่คนเฒ่าคนแก่จะอยู่บ้านใครบ้านมัน ไม่ค่อยพูดจากัน เดี๋ยวนี้ไม่ว่าโรงเรียนทำกิจกรรมอะไรทุกคนให้ความร่วมมือ และในหมู่บ้านไม่มีปัญหาเรื่องเด็กติดเกมและเด็กแว้น ประโยชน์อีกอย่างคือภูมิปัญญาของชาวบ้านไม่สูญหาย เพราะเราให้ผู้เฒ่ามาสอนเด็กๆ ในโรงเรียน อย่างผ้าคลุมโคเชและหมวกไม้ไผ่ ทำเสร็จก็นำออกไปจำหน่ายเป็นรายได้เสริม ส่วนไม้กวาดก็ทำไว้ใช้ในโรงเรียน ไม่ต้องไปซื้อ” นายสุมิตรกล่าว
ยายมุล วงหาริมาต วัย 67 ปี ผู้เฒ่าในชุมชนบ้านดงยางนารายณ์ บอกว่า อาศัยอยู่กับ ด.ญ. วรดา โพศรีงาม หรือ น้องทราย หลานสาววัย 13 ปี โรงเรียนสนับสนุนให้ปลูกพืชผักสวนครัวกินเอง ยายไปรับต้นกล้าผักหวานจากโรงเรียนมาปลูก แล้วก็ปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเองนิดหน่อย ทุกวันพฤหัสบดียายไปออกกำลังกายที่โรงเรียน
ขณะที่น้องทรายบอกว่า เรียนอยู่ชั้น ม.2 ที่โรงเรียนบ้านดงยางนารายณ์ ที่ผ่านมามักไปนำเต้นแอโรบิกให้กับคนแก่ในชุมชน เสร็จแล้วก็กินข้าวด้วยกัน อนาคตอยากเป็นหมอ เพราะถ้ายายป่วยจะได้รักษาได้ จริงๆ แล้วไม่อยากออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน อยากจะทำเกษตรอยู่ในชุมชน
ไม่เพียงผู้เฒ่าที่ได้ยิ้ม เด็กๆ ก็ได้ยิ้มไปด้วย ที่สำคัญเมื่อชุมชนที่อยู่เป็นชุมชนที่สร้างความสุข ก็ไม่มีใครอยากจากบ้านไปอยู่ที่อื่น ในอนาคตปัญหาการทิ้งลูกหลานไว้กับคนแก่ในต่างจังหวัดอาจลดน้อยลง หากเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า สามารถทำมาหากินอยู่ในชุมชนได้อย่างมีความสุข…
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน