ความสำเร็จของชุมชนป่าแดด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
จำนวนสูงถึง 82 %
เป็นที่ยอมรับว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ส่งผลต่อการมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงของเด็กตั้งแต่วันนี้จนถึงอนาคตข้างหน้าอย่างมาก แต่ดูเหมือนก็ยังมีคนมากมายที่ยังมองไม่เห็นความสำคัญที่เป็นหัวใจไขชีวิตสู่ความมีคุณภาพที่ยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าไม่มีที่ไหนในประเทศไทยจะสนใจเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อย่างน้อยที่สุด ชุมชนป่าแดดในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวจนครบ 6 เดือน โดยมีตัวเลขที่สูงกว่าตัวชี้วัดของประเทศ
ความสำเร็จของการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของชาวตำบลป่าแดด เริ่มจากสมาชิกชมรมนมแม่ เข้าไปริเริ่มชักชวนให้สมาชิกในชุมชน ให้เห็นความสำคัญของการสร้างคนให้เป็นคนเต็มร้อยด้วย “นมแม่และสายใยรัก” ก่อให้เกิด “อาสาสมัครนมแม่” ที่ทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้นำชุมชน องค์การบริการส่วนท้องถิ่นทั้งในระดับตำบลและอำเภอ ส่งผลให้อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในปี 2548 ที่มีเพียงร้อยละ 19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยปัจจุบันมีตัวเลขที่สูงถึงร้อยละ 82
ด้วยเหตุนี้ ทางศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย, ศูนย์อนามัยที่ 10 จังหวัดเชียงใหม่ และภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน ครอบครัวและอาชีวศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก จึงได้ร่วมกันศึกษาเพื่อถอดบทเรียนความสำเร็จของ “โครงการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ กรณีศึกษา : โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ต.ป่าแดด อ.เมือง จ.เชียงใหม่” โดยการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ด้วยการจัดเวทีนำเสนอบทเรียนที่มีคุณค่าเหล่านี้แก่ชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การจัดแผนชุมชนและแผนของหน่วยงานต่างๆ ในการขับเคลื่อนทางสังคมให้เกิดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ครบ 6 เดือน และขยายผลแนวคิดโครงการพระราชดำริ สายใยรักแห่งครอบครัวลงสู่ชุมชนและพหุภาคี
นพ.ทวีศักดิ์ นพเกษร หัวหน้าคณะผู้วิจัยฯ จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เปิดเผยถึงงานวิจัยชิ้นนี้ว่า จัดทำขึ้นเพื่อศึกษากระบวนการขับเคลื่อนทางสังคมด้วยตนเองของชุมชน โดยพบว่า มีพื้นฐานที่สำคัญมาจากคณะเจ้าหน้าที่และระบบการบริการด้านสาธารณสุขที่มีความทุ่มเทและมีความรู้ความสามารถ จนผู้รับบริการเกิดจิตอาสาต้องการถ่ายทอดความสำเร็จที่เขาฝ่าฟันมาได้ภายใต้การประคับประคองของคลินิกนมแม่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 10 เชียงใหม่ไปสู่ชุมชนอื่นๆ
“การตั้งชมรมนมแม่เชียงใหม่ ทำไห้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันช่วยกันแก้ปัญหา ทำให้กระบวนการจิตอาสาพัฒนาขึ้นโดยตัวของมันเอง และเมื่อสมาชิกในชมรมนมแม่ลงไปในพื้นที่ เขาก็ใช้หลักของการเข้าถึงองค์กรและภาคีที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทั้งหมด เพื่อพบปะพูดคุยสร้างความเข้าใจกัน นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งระบบงานที่ดีกระจายงานให้อาสาสมัครเท่าๆ กัน มีการแบ่งเป็นโซนในการทำงาน ดูแลกันด้วยใจ สามารถที่จะให้การแก้ปัญหาได้ทุกเมื่อตามปัญหาที่เกิดขึ้นจริง และมีระบบของการเรียนรู้ร่วมกัน เช่นไปดูแม่ที่ตั้งครรภ์และหลังคลอดกันเป็นทีม ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ปัญหา คนที่มีความรู้มากกว่าก็ไปเพื่อให้คำชี้แนะ ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ก็มีระบบที่สูงขึ้นไปถึงสถานีอนามัยหรือคลินิกนมแม่คอยให้ความช่วยเหลือ ซึ่งทุกคนที่เกี่ยวข้องก็เต็มอกเต็มใจที่จะทำให้ โดยไม่เกี่ยงว่าเป็นเวลาใด เพราะเข้าใจสภาพปัญหาเป็นอย่างดีว่า ปัญหาแบบนี้ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วมันทรมาน เช่น เต้านมคัด น้ำนมไม่ไหล ปวดนม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบของความสำเร็จในการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของชุมชน” นพ.ทวีศักดิ์กล่าวถึงผลของการถอดบทเรียน
พญ.กรรณิการ์ บางสายน้อย รองผู้อำนวยการ ศูนย์อนามัยที่ 10 เชียงใหม่ กล่าวถึงการถอดบทเรียนของชุมชนป่าแดด พบว่า เป็นชุมชนที่มีผู้นำที่เข้มแข็งและชุมชนเข้มแข็ง มีการประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อระดมความคิดช่วยกันแก้ไขปัญหา กลุ่มทำงานมีจิตอาสาทำงานด้วยความสุขและความสมัครใจ มีการออกแบบสื่อรณรงค์ของตัวเองด้วยรถหาเสียงเหมือนกับนักการเมือง เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนได้รับทราบ นอกจากนี้ชุมชนเองก็มีทักษะในการบริการจัดการที่ดี ซึ่งเป็นงานที่เกิดจากตัวของชุมชนเอง จนได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านเงินทุน และด้านอื่นๆ จากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
“การที่จะให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เราต้องการก็คือ การกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน หลังจากนั้นจึงให้กินนมแม่ร่วมกับอาหารตามวัยจนถึง 2 ปี หรือมากกว่า ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ก็สามารถทำได้ถ้าหากทุกคนช่วยกัน เริ่มแรกก็คือแม่จะต้องอยากให้ลูกได้กินนมแม่ แล้วคุณพ่อรวมถึงทุกคนในครอบครัวและเพื่อนบ้านก็ต้องมีส่วนร่วมช่วยสนับสนุน อาสาสมัครสาธารณสุขก็จะต้องไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ ก็จะทำให้แม่ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้” พญ.กรรณิการ์ระบุ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพส
update : 14-10-09
อัพเดทเนื้อหาโดย : ภราดร เดชสาร