ความรู้เบื้องต้น โรคติดเชื้อ HIV

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


ความรู้เบื้องต้น โรคติดเชื้อ HIV thaihealth


แฟ้มภาพ


โรคติดเชื้อไวรัส HIV จัดเป็นโรคติดต่อที่เป็นปัญหาสาธารณสุขของโลก เนื่องจากยังไม่มีวิธีการ รักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ การป้องกันอย่างถูกวิธีเพื่อไม่ให้ติดเชื้อ HIV


อาจารย์ พญ. รพีพรรณ รัตนวงศ์นรา มอร์ด อาจารย์แพทย์ ประจำสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และพว.วิภาวรรณ อรัญมาลา พยาบาลวิชาชีพ งานการพยาบาลป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ ฝ่ายการพยาบาล ให้ข้อมูลว่า


โรคติดเชื้อไวรัส HIV (เอชไอวี) จัดเป็นโรคติดต่อที่มีความสำคัญและเป็นปัญหาสาธารณสุขของโลก เนื่องจากยังไม่มีวิธีการ รักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถกินยากดไวรัสไปตลอดชีวิตเพื่อควบคุมเชื้อไวรัส และเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย การป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนมีความสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิต ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำได้คือ "การป้องกันอย่างถูกวิธีเพื่อไม่ให้ติดเชื้อ HIV"


HIV เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมทั้งโรคเอดส์ (AIDS) คือระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและมีโรคแทรกซ้อนได้ เชื้อ HIV จะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า CD4 (ซีดีโฟร์) ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายลดต่ำลง ทำให้มีโอกาสเกิดการติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น รวมทั้งมะเร็งบางชนิดได้มากกว่าคนปกติ ซึ่งอาการอาจจะรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป และอาจเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต


อย่างไรก็ตามผู้ที่ติดเชื้อ HIV ที่ยังมีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่ดีพอสมควร เราจะเรียกว่า "ผู้ติดเชื้อเอชไอวี" และผู้ที่ติดเชื้อ HIV ที่มีภูมิคุ้มกันโรคต่ำลง จนกระทั่งมีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเกิดอาการเจ็บป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสเราจะเรียกว่า "ผู้ป่วยเอดส์" เมื่อป่วยด้วยโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแล้วต้องรับการรักษา รวมทั้งการป้องกันไม่ให้เกิดเป็นซ้ำ จนกว่าระดับภูมิคุ้มกันโรคหรือ CD4 จะสูงขึ้นเพียงพอที่จะป้องกันร่างกายจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสและเพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อ HIV ได้ในระดับหนึ่งด้วยภูมิของร่างกายเอง


เชื้อ HIV สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสเลือด น้ำเหลือง น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลาย เสมหะและน้ำนมมีปริมาณเชื้อ HIV น้อย สำหรับเหงื่อ ปัสสาวะและอุจจาระแทบไม่พบเลย ทั้งนี้มีช่องทางการติดต่อที่สำคัญ ได้แก่


1. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เช่น ไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับชาย ชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิง ทั้งทางช่องคลอดและทวารหนัก ก็ล้วนมีโอกาสติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้จากข้อมูลของการระบาดวิทยาพบว่า มากกว่าร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อ HIV ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์


2. ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งมักพบในกลุ่มผู้ฉีดสารเสพติดเข้าเส้นเลือด


3. การสัมผัสเลือดหรือน้ำเหลืองของผู้ติดเชื้อ HIV ผ่านผิวสัมผัสที่เป็นแผลเปิดหรือรอยถลอก รวมทั้งการใช้ของมีคมร่วมกับ ผู้ติดเชื้อ HIV โดยไม่ทำความสะอาดอุปกรณ์ให้สะอาดเพียงพอ เช่น มีดโกนหนวด กรรไกรตัดเล็บ เข็มสักผิวหนังหรือคิ้ว เข็มเจาะหู


4. การติดต่อจากแม่สู่ลูก ทั้งระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดและการเลี้ยงดูด้วยนมแม่


5. การรับโลหิตบริจาคที่มีเชื้อ HIV ปนเปื้อน ซึ่งมีโอกาสน้อยมากในปัจจุบัน เนื่องจากโลหิตที่ได้รับบริจาคทุกขวดต้องผ่านการตรวจหาการติดเชื้อ HIV เพื่อความปลอดภัย


หากสงสัยว่า ได้รับเชื้อ HIV ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อกินยาต้านเชื้อ HIV แบบฉุกเฉินหรือยา PEP (เพ็บ) ภายใน 72 ชั่วโมง หรือหากมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อสามารถกินยา PrEP (เพร็บ) ซึ่งเป็นยาที่กินก่อนที่จะได้รับเชื้อหรือป้องกันเชื้อ HIV ได้


ปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อ HIV  ได้แก่


1. ปริมาณเชื้อที่ได้รับ หากได้รับเชื้อในปริมาณมากก็มีโอกาสติดเชื้อสูง


2. การมีบาดแผล หากมีบาดแผลเปิดบริเวณผิวหนัง จะทำให้มีโอกาสติดเชื้อ HIV สูง เพราะเชื้อ HIV สามารถเข้าสู่บาดแผลได้ง่าย


3. ความถี่ในการสัมผัสเชื้อ หากมีการสัมผัสเชื้อ HIV บ่อย เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันบ่อย ๆ โอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อจะสูง


4. สุขภาพของผู้รับเชื้อ หากสุขภาพอ่อนแอจะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย


5. การติดเชื้อผ่านแผลเริม เนื่องจากแผลเริมจะมีเม็ดเลือดขาวอยู่ที่บริเวณแผลเป็นจำนวนมาก ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ได้ง่าย และเชื้อ HIV ยังเข้าสู่บาดแผลได้ง่ายขึ้นด้วย


อย่างไรก็ตาม เชื้อ HIV ไม่ติดต่อจากการหายใจ จาม รดกัน การกินอาหารร่วมกัน การใช้ภาชนะเครื่องครัว จาน ชาม แก้วน้ำร่วมกัน การใช้โทรศัพท์ร่วมกัน การเล่นกีฬาหรือว่ายน้ำในสระเดียวกัน การใช้ห้องน้ำร่วมกัน การอยู่ในห้องเรียนหรือห้องทำงานหรือยานพาหนะเดียวกัน การอาศัยอยู่ร่วมกัน การสัมผัสหรือกอดกัน การถูกยุงหรือแมลงกัด


โดยทั่วไป เชื้อ HIV เมื่อออกมานอกร่างกายของผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ป่วยแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเพราะไม่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม เช่น แสงแดด ความร้อน ความแห้ง ภาวะกรด-ด่าง อีกทั้งเชื้อ HIV ไม่สามารถอาศัยอยู่ในร่างกายของสัตว์อื่นได้ ถ้ายิ่งถูกน้ำยาฆ่าเชื้อหรือสารเคมีก็จะยิ่งมีอายุสั้นลงไปอีกหรือแม้แต่สบู่หรือผงซักฟอกตามบ้านเรือนก็สามารถทำให้เชื้อ HIV อายุสั้นลงได้

Shares:
QR Code :
QR Code