ความรุนแรงอยู่รอบตัวเรา

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ภาพโดย สสส.


ความรุนแรงอยู่รอบตัวเรา thaihealth


เห็นด้วยหรือไม่ว่า? โลกนี้ไม่ควรประกอบด้วยคน 2 กลุ่ม นั่นคือ คนที่เป็นผู้กระทำ และคนที่ต้องตกเป็นผู้ถูกกระทำ แต่เอาเข้าจริง "ความรุนแรง" กลับอยู่รอบตัวเรามากกว่าที่คิด ที่สำคัญเราก็ยังพบปัญหานี้ในสังคมทุกหนทุกแห่ง 


ในการประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ "Voice of the voiceless: the vulnerable populations" จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) จึงเก็บตกหลากมุมเรื่องความรุนแรง ที่วนเวียนอยู่ในสังคมไทย  มาถ่ายทอดเล่าสู่กันฟัง


รุนแรงจากคู่ชีวิต


"ความรุนแรงมี 3 ด้าน คือด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และทางเพศ จริงๆ แล้วความรุนแรงในครอบครัวคืออาชญากรรมแบบหนึ่ง ที่เกิดในบ้าน" ดร.มนทกานติ์ เชื่อมชิต วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังให้ข้อมูลต่อว่า มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ชัดว่า เด็กที่เกิดมากับครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงมีแนวโน้มยอมรับและ ใช้ความรุนแรงเมื่อโตขึ้น หรือกับครอบครัวตัวเอง


ความรุนแรงอยู่รอบตัวเรา thaihealth


"สำหรับในชีวิตคู่ หากเกิดความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นแล้วหนึ่งครั้ง  มีโอกาสที่จะเกิดครั้งต่อไปและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ" เพื่อต้องการทราบลึกถึงปัญหาและทางออก ทางวิทยาลัยฯ จึงดำเนินการจัดทำแบบวัดระดับความรุนแรงในครอบครัวสำหรับประเทศไทยขึ้น โดยหนึ่งในคำถามสำคัญคือ "ท่านได้เคยร้องขอความช่วยเหลือจากใครหรือหน่วยงานใดหรือไม่" ปรากฏว่ามีถึง 77% ที่ไม่เคยขอความช่วยเหลือเลย เพราะไม่ทราบแหล่งข้อมูลและแนวทาง "เราจึงมองว่าทำอย่างไรให้คนที่ เข้าถึงการช่วยเหลือจึงพัฒนาแอปพลิเคชัน icanplan ซึ่งจะเป็นผู้ช่วยวางแผนรับมือความรุนแรงในครอบครัว โดยภายใน แอปพลิเคชันจะมีแบบวัดความสัมพันธ์/ความรุนแรงในชีวิตคู่ เพื่อประเมินความสัมพันธ์ในครอบครัว พร้อมคำแนะนำ เบื้องต้น รวมถึงมีช่องทางการสืบค้น การช่วยเหลือครอบคลุมทุกภูมิภาค ทั่วประเทศ"


รุนแรงตั้งแต่ก้าวออกประตูบ้าน         


"เราอยากใช้สื่อเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม" ตุลย์ ปิ่นแก้ว เครือข่าย Side Kick  ที่ทำงานร่วมกับเครือข่ายเมืองปลอดภัย เพื่อผู้หญิง เอ่ยถึงเป้าหมายของแคมเปญ ที่ชื่อว่า "เผือก"


ความรุนแรงอยู่รอบตัวเรา thaihealth


สำหรับกำเนิด "ทีมเผือก" นั้น เริ่มจากการศึกษาของแผนงานสุขภาวะผู้หญิง ที่ได้รับการสนับสนุนโดย สสส. ร่วมกับทีมงานวิจัยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำรายงานเรื่องเมืองปลอดภัย ด้วยโจทย์ที่ว่า "อะไรคือสิ่งที่คนอยากแก้ไขที่สุด" ปรากฎว่า คำตอบแรกคือเรื่องขนส่งสาธารณะ         


"โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง มีมากกว่า 45% ที่เจอเหตุการณ์ถูกล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศบนขนส่งสาธารณะ และ ที่สำคัญเขาบอกว่ามีเพียง 20% เท่านั้น  ที่จะมีคนเห็นเหตุการณ์ลุกขึ้นมาช่วยเหลือเราเลยอยากให้ 20% นี้เพิ่มขึ้น"


งานเผือกช่วงแรกๆ เริ่มตั้งแต่การสร้างความรู้และความร่วมมือจากหน่วยงานด้านให้บริการขนส่งสาธารณะ มีการอบรมกลุ่มพนักงาน พัฒนาคู่มือในการช่วยเหลือ ไปจนถึงพัฒนาระบบฮ็อตไลน์ และปรับปรุงระบบ CCTV ที่ช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องให้อุ่นใจ ประสบการณ์จากการทำงาน ทำให้ พบว่าความไม่ปลอดภัยไม่ได้อยู่แค่ระบบขนส่งอย่างเดียว แต่ยังอยู่ที่เส้นทางการใช้ชีวิตประจำวัน โจทย์ในปีที่สองของงานเผือกๆ จึงมีการขยายแนวคิดสู่การพัฒนาพื้นที่สาธารณะให้ปลอดภัยมากขึ้น โดยมีภาคีเครือข่ายหลากหลาย มาช่วยขยายแนวคิดสู่คอนเซปต์ "ปักหมุด ชี้จุดเสี่ยง" ที่เฟสต่อไปจะขยายไปสู่รูปแบบที่เป็น รูปธรรม ทั้งนี้เพื่อให้เมืองเป็นพื้นที่ ปลอดภัยมากขึ้น


รุนแรงแฝงในห้องเรียน


ปัญหาเรื่องการกลั่นแกล้งในโรงเรียนน่าจะเป็นอีกปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนานแทบทุกยุคทุกสมัย ยืนยันโดย ธวัชชัย  พาชื่น มูลนิธิแพธทูเฮลท์ ที่เอ่ยว่า มนุษย์มีการรังแกกันมาตั้งแต่ก่อนมีโลกออนไลน์ เสียอีก แต่เพราะความเป็นออนไลน์ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของการรังแก หรือ Bullying กันในยุคนี้


ความรุนแรงอยู่รอบตัวเรา thaihealth


การรังแกมีหลากหลายรูปแบบไป ทั้งทำร้ายร่างกาย ใช้วาจา แต่อีกสิ่งหนึ่งที่คนนึกไม่ถึงว่าคือการรังแกแต่พบบ่อย คือการกีดกัน และแบ่งแยกออกจากสังคม "คนที่มักถูกรังแกในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่มีเพื่อน บุคลิกเงียบ แต่เมื่อเจาะลึก ปัญหามากขึ้น เรายิ่งพบว่า เด็กที่ถูกรังแกมากที่สุดคือเด็กสมาธิสั้น เด็กออทิสติก  รองลงมาคือเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศ และกลุ่มมีลักษณะกายภาพแตกต่างจากคนอื่น เช่น ผมหยิก ตัวดำ อ้วน มักจะถูกรังแก เริ่มจากตั้งฉายาที่ทำให้ผู้ถูกรังแกรู้สึกเจ็บปวดทางจิตใจ"


ขณะที่ผู้ใหญ่มักคิดว่า "การรังแก" เป็นเรื่องปกติ และเล็กน้อย แต่สำหรับเด็กๆ แล้ว พวกเขามองว่านี่คือปัญหาสำคัญ ในชีวิต จนเกิดความสูญเสียมากมาย ปี 2558 มูลนิธิแพธทูเฮลท์ เริ่มขับเคลื่อน นโยบาย เรื่อง bullying ในโรงเรียน พร้อมพัฒนาหลักสูตร CSE ขึ้น เพื่อเข้ามาป้องกัน และแก้ไขปัญหานี้


"เราเริ่มสำรวจโรงเรียนในเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ อีก 5 โรงเรียน พบว่าเด็กคิดว่าเรื่องการรังแกกันเป็นเรื่องปกติเคยชิน อีกปัจจัยร่วมที่น่าสนใจคือ เด็กๆ รังแกเพราะไม่เข้าใจว่าทุกคนแตกต่างกันได้ โรงเรียนเองก็ไม่ได้พยายามทำให้เกิดความเข้าใจเรื่องความแตกต่างนี้" โครงการออกแบบหลักสูตร โดยเริ่มจาก ทำให้รู้ว่าระหว่างคำว่า "เล่น" กับ "รังแก" ต่างกันอย่างไร


"เล่น คือต้องสนุกด้วยกัน แต่ถ้าคนใดคนหนึ่งสนุกคนเดียว นั่นแปลว่าไม่ใช่การเล่นกันแล้ว เรายังสอนให้เขาเข้าใจว่าการรังแกส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง และที่สำคัญ เราต้องมีทางออกและวิธีจัดการให้กับเขา นอกจากนี้ คนที่อยู่ร่วมเหตุการณ์เองจะช่วยแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดการผลิตปัญหานี้ซ้ำอีก"


รุนแรงในโลกเสมือน


เพราะการโจมตีด้วยเรื่องทางเพศ เป็นหนึ่งในความรุนแรงที่มักใช้ขัดขวางผู้หญิงในอำนาจหรือผู้หญิงที่เป็นบุคคลสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูด การกระทำ ไปจนถึงการละเมิดความเป็นส่วนตัว ธารารัตน์ ปัญญา หญิงสาวที่เคยผ่านประสบการณ์กับการโดนรังแกมาก่อน แนะนำว่าก่อนจะรับมือกับปัญหานี้ ควรต้องเริ่มจากทำความเข้าใจที่มาการบูลลี่เสียก่อนว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร


ความรุนแรงอยู่รอบตัวเรา thaihealth


"จริงๆ แล้ว สาเหตุที่ทำให้คนเหล่านี้กระทำแบบนี้ เกิดจากทั้งการที่เขารู้สึกว่าเขาสามารถทำได้ และขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะผู้ชาย"


ธารารัตน์เอ่ยต่อว่า รากปัญหาส่วนหนึ่ง คือความเป็นชาย ที่ยึดติดอำนาจความเป็นใหญ่ในสังคม และเชื่อว่าผู้หญิงไม่ควรเปิดเผยเรื่องที่ตัวเองถูกกระทำ เพราะจะทำให้ผู้ชาย รู้สึกว่าโดนประณาม หรือถูกจู่โจมทางความคิด จึงตอบโต้ออกมาด้วยคำพูด ความเชื่อ ดังกล่าวเป็นมรดกทางความคิดที่เป็นพิษ ซึ่งถูกส่งต่อค่านิยมในสังคมมาช้านาน


"สังเกตได้ว่าบางคำพูดสะท้อนเลยว่า เขาไม่เข้าใจ ว่าการล่วงละเมิดทางเพศในที่สาธารณะแท้จริงเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถทำได้ หรือการใช้คำพูดต่อว่าผู้หญิง  เช่น หน้าตาแบบนี้มีคนเอาก็ดีเท่าไหร่แล้ว แสดงว่าเขาไม่เข้าใจว่าการล่วงละเมิด ทางเพศเกิดขึ้นได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใคร รูปร่างหน้าตาแบบไหน"


ส่วนเทคนิคการจัดการตนเองเมื่อเจอ Online Bullying เจ้าตัวเผยว่า "เราจะไม่ใช้บรรทัดฐานเดียวกับเขาในการตอบโต้ แต่ควรใช้เหตุผลที่แท้จริง สิ่งสำคัญคือเราต้องไม่ใช้วิธีการบูลลี่กลับ เพราะมันหยุดได้ แต่แค่ชั่วคราว หรือถึงจะหยุดการกระทำเขาได้ตลอด แต่ไม่ได้เปลี่ยนทัศนคติหรือความเข้าใจของเขา"


ความรุนแรงแบบเทา ๆ         


"มันเริ่มจากที่เวลาเรารู้สึกว่าคนที่เจอความทุกข์อะไร แล้วอยากพูด แต่พูดไม่ได้หรือไม่กล้าพูด" นานา วิภาพรรณ วงษ์สว่างผู้ก่อตั้งเพจ Thai Consent เพจที่เป็นพื้นที่ให้ผู้หญิงที่มีประสบการณ์ทางเพศ โดยไม่รู้ว่า นั่นคือการถูกล่วงละเมิดทางเพศรูปแบบหนึ่ง 


ความรุนแรงอยู่รอบตัวเรา thaihealth


"เพจที่เราทำมาจากเรื่องของตัวเองและเพื่อนเรานี่แหละ อย่างเวลาเราไปปาร์ตี้หรือบางกรณีผู้หญิงมักถูกล่วงเกินโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่า ตกลงเป็นเพราะเราสมยอมเขา หรือจริงๆ แล้วเราถูกล่วงละเมิด หรือถูกเอาเปรียบทางเพศ" ที่สำคัญคนที่เป็นเหยื่อ มักโทษตัวเองว่าทำไมปล่อย หรือเป็นคนเปิดโอกาสให้มันเกิดกับตัวเรา และยอมรับกับสภาพนั้น แต่นานามองว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์ คนเราจะต้องมี  "คอนเซนท์" (Consent)


"คอนเซนท์ แปลว่าการยินยอมพร้อมใจ ทั้งสองฝ่าย และมีอำนาจเท่าเทียมกัน  นี่คือสิ่งที่เราอยากปรับความคิดในสังคมไทย โดยเปิดโอกาสให้คนที่มีเรื่องไม่สบายใจ อยากเล่า แต่ไม่สามารถเล่าให้คนใกล้ชิดฟังได้ ส่งเรื่องมา แล้วเรานำไปโพสต์โดยที่เราจะวาดรูปตอบแทนให้" 


โดยหลังเปิดเพจได้ปีกว่าทำให้มีคนส่งเรื่องเข้ามาต่อเนื่อง "มันทำให้เรารู้ว่าจริงๆ สังคมไทยอยากคุยเรื่องนี้แต่เขาไม่มีพื้นที่ สิ่งที่เราอยากทำต่อคือ ถ้าเขาพร้อมจะคุยหรืออยากคุย เขาควรจะ คุยกับใครต่อ" 


ความรุนแรงอยู่รอบตัวเรา thaihealth


แม้ "โซเชียลมีเดีย" ไม่อาจแก้ไขปัญหา เหล่านี้จากสังคมโดยตรง แต่ก็สามารถเป็นเครื่องมือที่ช่วยเยียวยาจิตใจ และสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับสังคมทางอ้อมได้  นานา เอ่ยว่า อย่างน้อยทุกวันนี้คนเข้าใจคำว่าคอนเซนท์มากขึ้น ซึ่งสองสามปีก่อนหน้า ไม่เคยปรากฏคำนี้ขึ้นมาเลย          


"เราพยายามหยิบยกคำนี้ให้เกิดในสังคม เพราะเชื่อว่าหลังจากนี้ เวลามีปัญหาเรื่องเพศหรือถูกละเมิดอะไร สังคมไทยจะมีทัศนคติและวิธีคิดที่เปลี่ยนไป อย่างน้อยเวลาเกิดดรามาอะไร จะมีคนที่เป็น  "กองเชียร์" เลือกข้าง เราอยากให้เขาเลือกข้างด้วยความเข้าใจความเท่าเทียมกัน มากขึ้น" ความรุนแรงไม่เพียงเกิดขึ้นได้รอบตัว แต่ยังเกิดได้กับทุกคน

Shares:
QR Code :
QR Code