ควรทำ ต้องทำ และ ทำก็ได้

เทคนิคจัดชีวิตพิชิตเครียด

 

ควรทำ ต้องทำ และ ทำก็ได้

ท่ามกลางมรสุมการเมืองและไข้หวัด 2009 หลายท่านว้าวุ่นดวงจิต คิดไม่ตกว่าจะทำสิ่งใดก่อนในชีวิต ถึงขนาดต้องเขียนพินัยกรรมไหม

 

เพื่ออยากให้ท่านได้พักดวงจิตบ้างจึงนึกได้ถึงสูตรจัดการชีวิตที่ใช้ได้ผลดียามที่จิตตก จิตป่วนหรือจิตรวนเรไม่รู้จะเหไปหาใคร  และก็ใช้ได้ผลดีเสมอมาด้วย

 

 สูตรนี้ถือเป็นสูตรคุณแม่หรือเรียกให้เก๋ว่า “Mother recipe” แต่ดีกว่าขนมเค้กหรือซุปใสอย่างที่ท่านเคยลองกันมาแน่นอน  เพราะสูตรนี้สามารถเก็บไว้ใช้ได้ตลอดชีวิตจัดการให้ชีวิตดีมีสุขแบบไม่วุ่นวายได้ด้วยครับ  ขอเชิญมายลกันเลยครับ

 

เทคนิคจัดชีวิตพิชิตเครียด

 

 คุณแม่ผู้เป็นเจ้าของสูตรสอนผมไว้เพียงสั้นๆ ในเช้าวันหนึ่งระหว่างผมกำลังนั่งฟังตารางธุรกิจพันล้านที่ต้องทำในแต่ละวันเป็นต้นว่า หยดยาเห็บให้หมา, จัดยาให้คุณพ่อและโปรยข้าวเลี้ยงนกหนูปูปลารอบบ้านรวมถึงรดน้ำให้ต้นไม้น้อยใหญ่ที่นอกชาน  ขณะผมกำลังนั่งหน้าตื่นจัดเรียงลำดับของงานไม่ให้ลืมเสียก่อนเพราะงานส่งต้นฉบับก็อีกหลายอยู่นั้น  คุณแม่ท่านก็ได้กรุณาแนะถึงเทคนิคจัดลำดับงานไม่ให้รู้สึกว่างานล้นมือเครียดจนเกินไป

 

 เมื่อผมฟังแล้วในสมองกลวงๆ ก็เกิดพุทธิปัญญาขึ้นมาทันทีและจำมาใช้อยู่จนถึงเดี๋ยวนี้  จึงนึกถึงท่านผู้อ่านที่รักที่อยู่ในสังคมซับซ้อนนี้ขึ้นมาจับใจว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับท่านได้บ้าง  ขนาดสมองลูกโป่งอย่างผมยังเข้าใจได้ก็เชื่อว่าท่านที่เป็นผู้มีสมองระดับเลิศอยู่แล้วก็ย่อมจะเข้าถึงได้ง่ายและได้ประโยชน์เต็มทีดีด้วย

 

 ก่อนอื่นเลยนะครับขอให้ลืมคำว่า ไม่มีเวลา ไว้สักครู่ครับ เคล็ดสำคัญในการจัดชีวิตคือขอให้รู้ว่างานล้านแปดในโลกนี้  ไม่ว่าจะเป็นงานไฮเทคระดับสำรวจอวกาศชายขอบเนบิวลาไปจนถึงป้าข้างบ้านปรุงหอยจี่ขายนั้นล้วนแต่อยู่ในความสำคัญ3 ระดับเท่านั้นเองครับ  นั่นคือ

 

1) ต้องทำ   2) ควรทำ       3) ทำก็ได้

 

            ในส่วนของ ต้องทำ (Must do)” เป็นเรื่องคอขาดบาดตายจริงคือถ้าไม่ทำอาจกลายเป็น must die ได้  เป็นต้นว่าการรักษาพยาบาลตัวเอง  เรื่องสุขภาพหรือเรื่องความมั่นคงของสินทรัพย์กิจการ

 

 ส่วนงานระดับ ควรทำ (Should do)” ได้แก่การออกกำลังกาย  การสังสรรค์เข้าสังคม  การทำบุญกุศลต่อเพื่อนมนุษย์และการพยายามวางแผนชีวิตล่วงหน้าเอาไว้แต่ไม่ต้องเคร่งมากจนเกินไป

 

            สำหรับประการสุดท้ายคือ ทำก็ได้ (Good to do)” ซึ่งมักเป็นงานที่เกิดจากความเกรงใจมากกว่า  เช่น คุยโทรศัพท์กับเพื่อน  ขับรถไปส่งเพื่อนที่บ้าน  ไปดูหนังฟังเพลงหรือไปออกงานสังคมที่ไม่เต็มใจ  เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เสียเวลาอย่างเดียวหากแต่ทำให้เสียสุขภาพจิตด้วย

 

 เพราะมันจะดึงเอาพลังชีวิตของท่านไปได้มากกว่าที่คิด   คือแทนที่จะเหลือเนื้อสมองเอาไว้ทำในงานที่ ต้องทำหรือ ควรทำกลับต้องเจียดมาในส่วนที่ไม่จำเป็นมากเกินควรจนบางทีทำให้เสียโอกาสอันดีในชีวิตไปได้ทีเดียวครับ

 

            สิ่งที่น่าอัศจรรย์ถัดมาก็คือ งานประเภทที่ 3 อันเกิดจากความเกรงใจนี้กินเวลาชีวิตของเราไปเสียมากที่สุดเลยถึงราว 2 ใน 3 และงานอย่างนี้เองที่ทำให้วันหนึ่งเราต้องมานั่งกุมขมับย่นคิ้วว่าชีวิตนี้ทำไมยุ่งขิงหนักหนา  จะอะไรกันนักกันหนามากนักจนพาลกลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายเสียสุขภาพจิต  เสียสังคมรอบตัวแล้วในที่สุดก็เปลี่ยนไปเป็นซึมเศร้าได้  นี่แหละครับผลของการไม่จัดชีวิตให้ดีก็จะทำให้เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมาพิชิตตัวเราได้แทนอย่างไม่น่าเกิดทีเดียวครับ

 

            ที่จริง ทุกคนบนโลกล้วนแต่มีทุกข์กันอยู่เป็นแพคเกจคู่มาตั้งแต่เกิดแล้ว  แต่บางท่านดูร่าเริงแถมประสบความสำเร็จอยู่เสมอเป็นเพราะว่าท่านเตรียมตัวดี  ท่านเหล่านี้เป็นคนที่เตรียมชีวิตไว้อย่างรอบคอบ อันที่จริงท่านเหล่าไม่ได้มีตัวช่วยวิเศษใดต่างจากเราๆ หรอกครับ  หากแต่สิ่งที่ต่างออกไปคือการ เตรียมชีวิตและ ความรอบคอบยิ่งยวด

 

            บุคคลที่ประสบความสำเร็จน่าชื่นชมทุกรายจะมีสามคำศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้ไว้จัดการเรื่องราวชีวิตไม่ให้เรื่องไม่จำเป็นมาแย่งที่สิ่งที่ ต้องทำหรือ ควรทำในชีวิตลงไปได้

 

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 

 

Update:10-09-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

 

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

ระบุข้อความ