คลิปสั้น “เล่าเรื่องด้วยหัวใจจากศิษย์ถึงครู”
มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับสสค. ประกาศผลคลิปสั้น “เล่าเรื่องด้วยหัวใจจากศิษย์ถึงครู” เปิดเรื่องราวชีวิตครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง “ครูปุ๊ แสงนำทางชีวิตเด็กดอย เมื่อชีวิตไม่ทรยศความฝัน-ความในใจถึงครูเมื่อเคยเป็นเด็กอ่านไม่ออก สะท้อนครูยุคใหม่ต้องรู้จักเด็กรายบุคคล-เผยเคล็ดลับครูแนะแนวเข้าถึงใจเด็กยุค Gen Z”
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่หอประชุมคุรุสภา มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) คุรุสภา และกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการจัดงานประกาศผลรางวัลประกวดคลิปสั้น “เล่าเรื่องด้วยหัวใจจากศิษย์ถึงครู”
นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ในฐานะประธานมอบรางวัล กล่าวว่า เนื่องในปีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯในวโรกาสพระชนมายุครบ 60 พรรษา จึงทรงพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีให้แก่ครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์และยังส่งผลต่อคุณูปการแก่วงการศึกษา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกครูของแต่ละประเทศเพื่อรับพระราชทานรางวัลในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ โดยจะมีการคัดเลือกต่อเนื่องครั้งละ 2 ปี และเพื่อให้เกิดการตื่นตัวในสังคมไทยจึงเกิดโครงการเล่าเรื่องด้วยหัวใจจากศิษย์ถึงครู โดยเชิญชวนลูกศิษย์ทั้งนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วประเทศร่วมบอกเล่าเรื่องราวของครูที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิต โดยถ่ายทอดเรื่องราวในรูปแบบของคลิปวีดีโอสั้น ความยาวไม่เกิน 5 นาที เปิดรับสมัครส่งผลงานระหว่างม.ค.-15 มี.ค. มีผู้ส่งผลงานทั้งสิ้น 105 ชิ้น จึงเชื่อว่าครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงแก่ชีวิตลูกศิษย์ยังมีอยู่จำนวนมาก รางวัลนี้จึงเป็นการให้กำลังใจแก่ครูเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิตคนอีกจำนวนมาก
นายมานิจ กล่าวว่า สำหรับรางวัลชนะเลิศประเภทนักเรียนนักศึกษาซึ่งจะได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท คือเรื่อง“คุณครูใจร้าย” จากทีมฆ่าหมีด้วยมือเปล่า มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 10,00 บาท คือเรื่อง“โอกาส” จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม และรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง เงินรางวัล 5,000 บาท คือเรื่อง“ครูอาชีวะ” จากวิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม ส่วนประเภทประชาชนทั่วไป รางวัลชนะเลิศได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท คือเรื่อง “เมื่ออ่านไม่ออก เขียนต.เต่าไม่ได้” โดยดร.ศิริวรรณ อาจศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนภูเขียว จ.ชัยภูมิ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 10,00 บาท คือเรื่อง “ขาเทียมเปลี่ยนชีวิต” โดยทีมจ.สตูล และรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง เงินรางวัล 5,000 บาท คือเรื่อง“ครูปุ๊…แสงนำทางชีวิตเด็กดอย” โดยทีมบ้านพิพัฒน์-กนกพร จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้ยังมีรางวัลขวัญใจคลิปจากคะแนนโหวต เงินรางวัล 10,000 บาท คือเรื่อง “แรงผลักดัน” จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม
ดร.ศิริวรรณ อาจศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนภูเขียว จ.ชัยภูมิ จากเรื่อง “เมื่ออ่านไม่ออก เขียนต.เต่าไม่ได้” รางวัลชนะเลิศประเภทประชาชนทั่วไป กล่าวว่า สาเหตุที่ลุกขึ้นมาทำคลิปสั้นเพราะอยากให้ครูที่มีเด็กอ่านไม่ได้อยู่ในมือได้ลุกขึ้นสู้ เนื่องจากโรงเรียนที่สอนเป็นโรงเรียนมัธยมแต่ยังมีเด็กอ่านไม่ออกอยู่ จึงถ่ายทอดเรื่องราวในสมัยเรียนที่ขึ้นชั้นป.3แต่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ซึ่งได้ครูที่รู้จักนักเรียนทุกคนก่อนจะเลื่อนชั้นและไม่ยอมปล่อยเด็กแม้แต่คนเดียวให้ผ่านเลยไป แต่กลับสอนให้ตรงกับปัญหาของเด็กแต่ละคน โดยอดทน ทุ่มเทเวลาทั้งที่ไม่มีสื่อการสอนที่พร้อมเหมือนยุคปัจจุบัน ซึ่งการแก้ปัญหาให้เด็กอ่านออกเขียนได้คือ ครูต้องรู้จักเด็กแต่ละคนเพื่อซ่อมในจุดด้อยและไม่ทำให้เขาแตกต่างไปจากเพื่อนคนอื่นๆ
“สาเหตุที่เด็กไทยยังมีปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้น่าจะมาจากการออกแบบให้เด็กฝึกอ่านเขียนไม่เพียงพอ เด็กมีเวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่าการอ่าน โดยครูไม่ออกแบบการบริหารเวลาว่าเด็กที่อยู่ในโรงเรียน 8 ชั่วโมง เด็กที่เก่งและอ่อนควรอ่าน เขียน คิดเลขอย่างไร แต่ออกแบบเหมือนกันหมดและไม่มีการติดตามผลการสอน ทำให้ครูไม่รู้จักเด็กดีพอและไม่อดทนที่จะแก้ปัญหาเด็กรายบุคคล ครูจึงคอยแต่ชื่นชมเด็กเก่ง ส่วนเด็กอ่อนที่อยู่หลังห้องก็เอาตัวเองออกจากห้องเรียน ซึ่งโชคดีมากที่เจอกับครูท่านนั้น ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถมายืนถึงจุดนี้ ดังนั้นการสอนของโรงเรียนจึงเน้นให้เด็กทุกคนต้องอ่านให้ได้”ดร.ศิริวรรณ กล่าว
น.ส.วนิดา ลอยชื่น หรือ “ครูปุ๊" บ้านพิพัฒน์-กนกพร จากคลิปสั้นเรื่อง ครูปุ๊…แสงนำทางชีวิตเด็กดอย” กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการเปิดบ้านพิพัฒน์-กนกพร เพราะจากเดิมเป็นครูสอนโรงเรียนเอกชน ในช่วงปิดเทอมก็จะขึ้นดอยที่อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ มาช่วยเพื่อนจัดค่ายเยาวชน เพราะมองว่าเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่มีค่า เป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศ แต่วันหนึ่งมีเด็กมากอดและร้องไห้บอกว่า หนูไม่มีที่ไปแล้ว เนื่องจากการเรียนต่อ ม.4 ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ประกอบกับศิษย์เก่าที่เคยสอนโรงเรียนเอกชนยินดีสนับสนุนทุนทำงาน จึงตัดสินใจออกจากการเป็นครูมาเปิดบ้านพิพัฒน์-กนกพร ซึ่งเป็นชื่อของบิดามารดาของลูกศิษย์ที่ให้ทุน เพื่อเป็นบ้านพักให้นักเรียนหญิงได้พักระหว่างเรียนและยังฝึกสอนอาชีพหากเรียนไม่ได้ต้องออกกลางคันก็มีอาชีพติดตัว ซึ่งบ้านเกิดของครูอยู่สุไหงโกลก จ.นราธิวาส เป็นพื้นที่ชายแดนที่เต็มไปด้วยผู้หญิงอาชีพพิเศษส่วนใหญ่มาจากภาคเหนือ ทำให้มีคำถามที่ค้างอยู่ในใจเสมอมา และสภาพของเด็กสองกลุ่มที่ต่างกันฟ้ากับเหวเป็นสิ่งที่ทิ่มแทงความรู้สึกของตัวเองว่า “อย่าทรยศต่อความฝันของตัวเองนะ” พอได้เจอลูกศิษย์ที่ไม่มีที่ไปจึงอยากหาทางออกให้เขา ซึ่งในปัจจุบันเด็กกลุ่มนี้ก็มีอาชีพเพื่อช่วยเหลือสังคมต่อไป
น.ส.สุชาดา เลิศประไพ ครูแนะแนว โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า จากคลิปสั้นเรื่อง“คุณครูใจร้าย”กล่าวว่า ไม่รู้สึกโกรธ หากเด็กจะมองว่าเป็นครูใจร้ายเพราะเป็นสไตล์การสอน ซึ่งสังคมปัจจุบันค่อนข้างแรงจึงต้องมีวิธีเรียกความสนใจให้เขารู้ว่าในโลกของความเป็นจริงมันโหดร้าย จึงต้องสะท้อนกับเด็กไปตรงๆ แต่เมื่อพูดกับเขาแล้วครูจะไม่ปล่อยไป ทุกคนที่มาปรึกษาเราจะลุยไปกับเขา ส่วนสาเหตุที่เลือกเป็นครูแนะแนวในห้องท้ายของโรงเรียนเพราะอยากชี้แนะให้เด็กได้รู้ว่าคนอัจริยะมันมีถึง8ด้าน ไม่ใช่แค่วิชาการ บางคนเก่งกีฬาหรือดนตรีก็ประสบความสำเร็จได้ จึงพาเขาไปสมัครสอบและให้ทุนทั้งที่ทางบ้านไม่สนใจก็ตาม ทั้งนี้บทบาทของครูแนะแนวแก่เด็กยุคGeneration Z ครูต้องเข้าถึงเด็ก โดยเฉพาะสื่อต่างๆที่เขาใช้สื่อสาร ครูต้องมีด้วยเพื่อเป็นช่องทางสื่อสารกับเขา ถ้าใกล้ตัวเขา สุข ทุกข์กับเขา เขาก็จะมาหาเรานั่นเอง
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)