ครูข้างถนน เรือจ้างที่สำคัญของสังคม
ที่มา : หนังสือ 'เรื่องเล่าครูข้างถนน ทางเลือกทางรอดของเด็กเร่ร่อน' โดย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
ความเป็นครู ไม่ได้มีอยู่แค่ในห้องเรียน เพราะเมื่อออกจากห้องสี่เหลี่ยม จิตวิญญาณความเป็นครูยังคงมีอยู่ทุกที่ ดังเนื้อหาที่มาจากชีวิตจริง อย่างในหนังสือ ‘เรื่องเล่าครูข้างถนน’
หนังสือ ‘เรื่องเล่าครูข้างถนน ทางเลือก ทางรอดของเด็กเร่ร่อน’ สนับสนุนโดย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นอีกหนึ่งผลงานที่รวบรวมเรื่องราวประสบการณ์และความประทับใจในการทำงานช่วยเหลือเด็กในสังคมที่ไม่ได้รับโอกาสได้เท่ากับคนส่วนใหญ่ในสังคม ครูเหล่านี้จึงพร้อมมอบโอกาสและทางเดินใหม่แก่เด็กๆ เหล่านั้น
คงสม เชิดชูธรรม ตัวแทนจาก สสส. สำนักพัฒนาสังคม กทม. จรดปลายปากกาเล่าความประทับใจในหนังสือเล่มนี้ว่า ช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี 2549 มีโอกาสลงพื้นที่ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ ได้ทราบเรื่องราวปัญหาของเด็กชายโจ้ที่อยู่ในความดูแลของทางศูนย์ จากครูจ้อยและครูแอ็ด ศูนย์เด็กเล็กฯ รับดูแลเด็กที่มีอายุระหว่าง 3-6 ปี ซึ่งขณะนั้นเด็กชายโจ้มีอายุเกินที่ศูนย์ฯ กำหนดแล้ว แต่ยังคงอยู่ในความดูแลของทางศูนย์ฯ เพราะ ด.ช.โจ้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ไม่มีหนังสือรับรองเกิด เนื่องจากพ่อที่ให้กำเนิดหายสาบสูญและแม่เป็นชาวกัมพูชา
“เพราะไม่มีหลักฐานต่างๆ ทำให้ในตอนนั้น ไม่มีหน่วยงานไหนให้ ด.ช.โจ้ เข้าเรียน แม้ว่า ด.ช.โจ้ จะเป็นเด็กเรียบร้อย เรียนเก่งมากก็ตาม ผมจึงช่วยสืบค้นหาข้อมูล สังเกต ตรวจสอบ พิจารณา และนำเอกสารจากทางโรงพยาบาล ไปติดต่อที่ฝ่ายทะเบียนอำเภอจังหวัด และสืบค้นประวัติบิดาของ ด.ช.โจ้ เพื่อหาสถานะทางทะเบียนต่อไปว่าเป็นคนไทยหรือกัมพูชา ก่อนจึงสามารถได้เลขทะเบียน 13 หลัก โดยมีเลข 0 นำหน้าไปก่อน แม้วันนั้นผมจะไม่ได้ฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่ผมรู้สึกดีใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในสังคม ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นเชื้อชาติไหนก็ตาม” นายคงสมกล่าว
หนังสือ เรื่องเล่าครูข้างถนน ยังบอกเล่าร่องรอยแห่งความเสียใจ และจุดเปลี่ยนชีวิต ของ ครูพงษ์ ธนะรัตน์ ธาราภรณ์ มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ครูผู้ที่ได้รับโอกาสจากครูหน่อง ศูนย์เด็กเล็กก่อสร้างหมู่บ้านปรีชา หัวหมาก ที่เปรียบเสมือนครูสอนหนังสือคนแรกในชีวิตที่ได้เข้ามาเรียนในศูนย์ฯ เนื่องจากในอดีตสภาพการเงินในครอบครัวครูพงษ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“โรงเรียนของผมไม่ได้เลิศหรู คุณครูไม่ต้องแต่งสวยแต่งหล่อ นักเรียนไม่มียูนิฟอร์ม พวกเรามาจากหลายพื้นที่ หลายเชื้อชาติ ร้อยพ่อพันแม่ ไม่มีระดับชั้นเรียน แต่ผมรู้สึกมีที่ที่ปลอดภัยให้เล่นสนุก แถมบางว่าคุณครูใจดีเล่านิทานเรื่องเมาคลีลูกหมาป่าให้ฟังอีกด้วย” ครูพงษ์เขียนบอกเล่าถึงความรู้สึกในอดีต
ส่วนร่องรอยแห่งความเสียใจที่ครูพงษ์ได้เขียนไว้นั้นเป็นเรื่องของ บี เด็กเร่ร่อนขายบริการย่านสวนลุม อายุประมาณ 15 ปี ที่น่าตาดี พูดจาดี เฉลียวฉลาด และติดผงขาว ครูพงษ์จึงอดเสียดายไม่ได้ ที่จะเชื้อชวนแกมหว่านล้อมให้บีเรียนได้ศึกษาต่อ
“ครู พรุ่งนี้เอาใบสมัครเรียน กศน. มาให้หนูเลยนะ หนูจะไปสมัครเรียนกับครู 9 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้นครูไปรอเข้าตามนัดที่ป้ายรถเมล์ รพ.จุฬาลงกรณ์ แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อเห็นกลุ่มคนมุงดูห้องน้ำติดกับห้องฉุกเฉินของ รพ. ได้ยินเสียงแว่วว่ามีคนตาย ผมรีบวิ่งไปดู ภาพที่เห็นสะเทือนใจมาถึงทุกวันนี้ บี สิ้นใจคาเข็มฉีดผงขาวด้วยฤทธิ์ยาเกินขนาด ทำให้ช็อคตายคาที่ ผมเสียใจจนทำอะไรไม่ถูก ตำหนิตัวเองเสมอมาว่า เราไม่น่ามาช้าเลย” ครูพงษ์บอกเล่าถึงชนวนเหตุที่อยากทำงานช่วยเหลือคนโดยไม่รีรอเวลา
แม้ทุกคนจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่หากได้รับโอกาสที่ดี ความมุ่งมั่น ตั้งใจและความดีจากผู้ที่ส่งไปนั้น ย่อมเปลี่ยนแปลงคนเหล่านั้นได้ไม่มากก็น้อย สสส. ขอขอบคุณและชื่นชมคุณครูทุกท่าน ที่ช่วยกันส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนมีสุขภาวะที่ดีรอบด้าน ทั้ง กาย จิต ปัญญา และสังคม