“ครัวใบโหนด” เครื่องหมายสุขภาวะที่เข้มแข็งอีก 1 ชุมชน
มีชุมชนที่สมัครสมานสามัคคีรวมตัวกันสร้างความเข้มแข็งให้สามารถช่วยเหลือตัวเองพึ่งพาตนเองได้ในทุกด้าน โดยเฉพาะการอนุรักษ์สืบสานวิถีชีวิตวัฒนธรรมประเพณีดีงาม การเป็นแหล่งผลิตอาหารให้ชุมชนเพื่อความพร้อมรับสถานการณ์ในทุกด้านโดยน้อมนำวิถีแห่งความพอเพียงตามแนวพระราชดำริมาเป็นเครื่องมืออยู่ไม่น้อยทีเดียว
ตัวอย่างที่พอจำได้ที่เปิดประตูให้คนทั้งประเทศได้รู้โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ก็ชุมชนหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดชัยนาทคราวมหาอุทกภัยปี 2554 ช่วยเหลือกันและกันไม่รอพึ่งภายนอก บรรเทาความเดือดร้อนหนักเป็นเบาไปได้ ยิ่งวันนี้ไม่ต้องพูดถึงไม่ว่าภัยใดก็ไม่ทลายกำแพงแห่งสามัคคีได้
ชุมชนชิงโคแห่งคาบสมุทรสทิงพระ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลาก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชาวชุมชนสามัคคีกันสร้างความเข้มแข็งแล้วดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบด้วยการน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นเครื่องมือรักษาสืบสานคุณค่าเดิมๆ ของท้องถิ่นที่บรรพชนสร้างเอาไว้นำมาเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตทั้งการกินการอยู่ นำสู่วิถีสุขภาพกายใจยอดเยี่ยม ทำให้ปัญญาเจริญงอกงามโดยสร้างศูนย์กลางความร่วมแรงร่วมใจร่วมมือสร้างความเข้มแข็งคือการเปิด “ครัวใบโหนด” ภายใต้แนวคิด “ครัวชุมชนเพื่อคนทั้งมวล” ที่เติบโตแตกยอดมาจากสามัคคีหลักคือกลุ่มออมทรัพย์ของชุมชนที่มีการรวมกลุ่มกันมานานกว่า 20 ปีตั้งแต่ปี 2549 กลุ่มออมทรัพย์โดยชุมชนเห็นพ้องต้องกันทำโครงการอนุรักษ์-ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพฯโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นให้คนในท้องถิ่นตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายของพืชและสัตว์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในท้องถิ่นซึ่งจะนำไปสู่การพึ่งตนเองได้ของชาวบ้าน โดยมีเป้าหมายคือความสุขอย่างยั่งยืน
“ครัวใบโหนด” จึงเป็นศูนย์กลางฟื้นฟูสูตรอาหารท้องถิ่น และรวบรวม อนุรักษ์ผักพื้นบ้านพันธุ์ข้าวในพื้นที่ได้กว่า 100 ชนิด เป็นการเชื่อมโยงอาหารพื้นบ้าน ผักปลอดสารพิษและผักพื้นถิ่นที่บรรดาชาวชุมชนต่างยอมรับถึงความมีคุณค่า ที่แฝงไปด้วยคุณธรรมดำเนินชีวิตเพื่อสู่จุดหมายที่สำคัญคือคุณค่าทางสุขภาพกายและใจ “ครัวใบโหนด” จึงถูกจัดตั้งขึ้นเห็นจะต้องให้ได้สัมผัสความรู้สึกนึกคิดของผู้นำนายสามารถ สะกวี หัวหน้าโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่น คาบสมุทรสทิงพระ ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเล่าให้ฟังว่า วิถีชีวิตดั้งเดิมของคนที่นี่ผูกพันอยู่กับโหนดคือ ต้นตาลโตนด ท้องนา และทะเล ที่ขนาบข้างทั้งทะเลอ่าวไทย และทะเลสาปสงขลา อาชีพและอาหารการกินจึงหนีไม่พ้นได้จาก 3 ส่วนหลัก เช่น การทำน้ำตาลโตนด ทำนาและประมง กระทั่ง การดำเนินชีวิตแบบสมัยใหม่เข้ามา ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ทิ้งผักพื้นบ้านและอาหารพื้นถิ่นของตนเอง
“อาหารที่ขายในครัวใบโหนดเป็นอาหารแบบชาวบ้านแท้ๆ แม่ครัวเป็นคนในพื้นที่ ส่วนวัตถุดิบโดยเฉพาะผักเน้นผักพื้นบ้านปลอดสารพิษเป็นหลักรับซื้อจากชาวบ้านที่ทั้งปลูก และเก็บจากธรรมชาติมาขายให้กับครัว ผู้ที่มารับประทานอาหารที่นี่ นอกจากจะได้รับความอร่อยจากอาหารพื้นถิ่นแท้ๆ แล้วยังมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยจากสารพิษที่ปะปนในผักด้วย” นายสามารถเน้นหัวหน้าโครงการฯ ย้ำอีกว่าใครมาเยือนครัวใบโหนดพลาดไม่ได้คือ ยำสายหรือยำสาหร่ายที่เก็บมาจากทะเลนำมายำกับมะม่วงพิมเสนเบา รสชาติร่อยจังฮู้, แกงคั่วลูกโหนด เป็นแกงกะทิที่ใส่เนื้ออ่อนบริเวณด้านบนของผลตาลใส่เนื้อสัตว์ตามชอบใจทั้งกุ้ง ปลา, แกงเรียง ที่มีส่วนผสมของผักพื้นบ้านรวมอยู่ด้วย เช่น ยอดจอท่อ ไม่เว้นแม้แต่ของหวานอย่าง ลูกตาลกะทิสด หารับประทานทั่วไปยากทีเดียว
เพื่อยืนยันว่า “สามารถ ไม่ได้โม้” สามารถพาไปดูได้ถึงแหล่งผลิตวัตถุดิบสดๆ ตัวอย่าง เป็นแปลงผักปลอดสารพิษของลุงเพิ่ม พุทธสุภะ วัย 62 ปี ที่เดิมมีอาชีพรับจ้างทั่วไป จนวันหนึ่งเมื่อ 5 ก่อนได้ดูโทรทัศน์เห็นข่าวที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงแนะนำให้เด็กนักเรียนปลูกผักปลอดสารพิษไว้เป็นอาหารกลางวัน จึงเกิดความคิดว่าเด็กยังทำได้ตนเองก็น่าจะทำได้ จึงหันกลับมาใช้ที่ดินที่มีอยู่ราว 1 ไร่ ปลูกผักปลอดสารพิษปุ๋ยชีวภาพทำเองจากเศษผัก เศษหญ้านำมารวมๆ กันใช้สะเดาสำหรับไล่แมลง จนวันนี้สวนผักลุงเพิ่มกลายเป็นศูนย์บริหารและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ต.ชิงโค
“ผักที่มีอยู่ในที่ดินและที่ปลูกรวมแล้วกว่า100 ชนิด ส่วนที่ปลูกจะสลับกันไปทั้งผักบุ้งจีนคะน้า กวางตุ้ง มะระ มะเขือ พริก เป็นต้น จะมีคนมารับซื้อถึงที่มีรายได้วันละ 300 บาท พออยู่พอกินอย่างน้อยผักก็ไม่ต้องซื้อคนอื่นกินเหมือนเมื่อก่อน ปลูกเอง เก็บเอง กินเอง ประหยัดค่าใช้จ่ายมาก” ลุงเพิ่มกล่าว
ความเข้มแข็งของชุมชนชิงโคผ่านครัวใบโหนดไม่พ้นสายตาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่พร้อมจะส่งเสริมให้ เป็นต้นแบบชุมชนเข้มแข็งประกาศให้เป็นตัวอย่างแก่ชุมชนอื่นๆ ต่อไป
โดย ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า สสส. ให้ความสำคัญการสร้างความมั่นคงทางอาหาร สนับสนุนให้คนเข้าถึงการบริโภคอาหารคุณภาพ ถูกหลักโภชนาการปลอดภัย โดยคำนึงถึงระบบห่วงโซ่อาหารตั้งแต่กระบวนการผลิต การกระจายอาหาร โดยมีตลาดอาหารเพื่อสุขภาพที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย พร้อมทั้งสร้างค่านิยมและพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งดำเนินการครอบคลุมทั้งชุมชนเขตเทศบาล เขตเมือง โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็กสถานประกอบการ ตลาด ร้านอาหาร
“ตั้งเป้าภายใน 1 ปีจะสร้างพื้นที่นำร่องอาหารปลอดภัยในเมืองให้ได้ 10 แห่งทั่วประเทศ และมีชุมชนที่จัดการความมั่นคงทางอาหารโดยการผลิตเมล็ดพันธุ์พืช ทำประมงเกษตรปลอดภัยอย่างน้อย20 แห่ง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคอ้วน หัวใจหลอดเลือด เบาหวาน ที่เป็นสาเหตุลำดับต้นๆของการเสียชีวิตของคนไทย” ทพ.กฤษดากล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ