ครอบครัวไทยยุค 4.0 ‘อยู่ดีมีสุข’ จริงหรือ?
ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ภาพประกอบจาก สสส.
อาจไม่ใช่เพียงครอบครัวไทย ที่ต้องเผชิญปัญหาที่หลากหลายในภาวะครอบครัวเปราะบางและเข้าสู่ยุคเด็กเกิดน้อยและสังคมสูงวัย แต่ปัญหาดังกล่าวกำลังเป็นวาระสำคัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าประเทศไทยเองอาจต้องเผชิญภาวะวิกฤตในปัญหาดังกล่าวมากขึ้น โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ดัชนีครอบครัวอบอุ่นของสังคมไทยมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะครอบครัวคนเมืองนั้น กลายเป็นกลุ่มที่มีความสุข ที่สุดในประเทศ!
ศ.ดร.รุจา ภู่ไพบูลย์ อาจารย์ประจำภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในการเสวนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม "ชุมชนและรัฐร่วมสร้างครอบครัวสุขภาวะได้อย่างไร" อีกเวทีเสวนาดีๆ จากงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 11 ว่า จากการดำเนินการโครงการศึกษาครอบครัวไทยแบบบูรณาการตามวงจรชีวิตครอบครัว เรื่อง ครอบครัวไทยยุค 4.0 อยู่ดีมีสุขจริงหรือ? โดยเก็บข้อมูลระหว่างเดือน พ.ย.2560-มี.ค.2561 ด้วยการสำรวจครอบครัวไทย 6,000 ครอบครัว ใน 4 ภูมิภาค ผลการศึกษาพบว่า ครอบครัวอยู่ดีมีสุขโดยรวม 7.72 คะแนน โดยภาคใต้ครอบครัวอยู่ดีมีสุขสูงสุด 7.89 คะแนน รองลงมาเป็นภาคเหนือ และภาคกลาง 7.73 คะแนน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7.71 คะแนน และต่ำที่สุด คือ กทม. 7.55 คะแนน
เรื่องนี้ถูกเสริมข้อมูลโดย ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า หากดูจากสถิติที่กรมสุขภาพจิตแถลงเดือนที่แล้วให้ว่าปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มวัยรุ่นพุ่งขึ้นมากหรือแค่ลองติดตามข่าวในสื่อจะพบข่าวเกี่ยวกับวัยรุ่นไทยฆ่าตัวตายมากขึ้นกว่าในอดีต เพราะปัจจุบันสภาพสังคมไทยมีความเปราะบางมากขึ้น ชีวิตที่แข่งขันและปัจจัยหลายอย่างยังดึงเด็กเยาวชนออกจากบ้าน เช่น เพราะโรงเรียนสถานศึกษาดีๆ อยู่ไกลบ้าน หรือเพราะระบบเศรษฐกิจที่ดึงพ่อแม่ออกจากบ้านไปทำงาน
"ดังนั้นเราไม่โทษเด็กที่จะมีปัญหาติดเกมหรือมีพฤติกรรมไม่ดีต่างๆ นานา เพราะเราไม่ได้เตรียมสภาพสังคมที่ดีพอให้สำหรับเขาในการเติบโต เหมือนการที่เราปลูกต้นไม้ แต่เราไม่มีดินที่ดี ไม่ค่อยใส่ใจรดน้ำเขา ดังนั้นจะเติบโตงอกงามให้ดอกผลที่ดีคงเป็นเรื่องยาก"
ณัฐยา กล่าวต่อว่า ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเราอยู่ในสังคมสูงวัย การเกิดน้อยจะเป็นอุบัติการณ์ที่ดำเนินไปอย่างเด่นชัดมาก
"ปีนี้เป็นปีแรกที่มีอัตราการตายมากกว่าอัตราการเกิดในประเทศไทย บทเรียนจากหลายประเทศแทบไม่มีวิธีที่ทำให้คนอยากมีลูกเพิ่มขึ้นได้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะฉะนั้นกระแสในระดับนานาชาติ เช่น สหประชาชาติหรือองค์กรระหว่างประเทศจะเริ่มมีการพูดถึงการลงทุนในเด็กและเยาวชนอย่างมาก Invest in Young People คือการลงทุนในการสร้างทุนมนุษย์เพราะยิ่งมีเด็กเกิดน้อย ยิ่งแปลว่าเราต้องสมรรถนะให้เด็กหรือคนแต่คนมากกว่าสิบเท่า"
ซึ่งตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา สสส. สนับสนุนการขับเคลื่อนด้านครอบครัวอบอุ่นผ่านโครงการต่างๆ ร่วมกับภาคีต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้ตัวชี้วัดครอบครัวอบอุ่นใน 3 องค์ประกอบ คือ สัมพันธภาพของคนในครอบครัว บทบาทหน้าทีของสมาชิกในครอบครัว และการพึ่งตนเอง โดย สสส. จะขับเคลื่อนในสามโมเดล ส่วนที่หนึ่งคือชุมชนต้องมีส่วนร่วม
"คณะทำงานในระดับชุมชนเป็นตัวจักรที่สำคัญมาก การที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงมหาดไทย ร่วมมือกันจัดทำศูนย์พัฒนาครอบครัวเราคิดว่าเป็นกลไกที่วางไว้ดีแล้วแต่ สสส. จะไปช่วยให้ทำงานเข้มแข็งมากขึ้นและตอบโจทย์ชุมชนได้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชิงวิชาการ และการถ่ายทอดนวัตกรรมในการทำงาน เพราะช่วงที่ผ่านมา สสส.กับภาคีเราเน้นการสร้างและพัฒนานวัตกรรมที่เหมาะสมกับแต่ละบริบทของแต่ละชุมชน ซึ่งมีการถอดบทเรียนวิธีการและผลลัพธ์ออกมา" ณัฐยากล่าว
ส่วนโมเดลที่สอง เนื่องจากคนในวัยแรงงานมีใช้เวลาส่วนใหญ่ที่ทำงานค่อนข้างมาก สสส. คงมองว่าสถานที่ทำงานเป็น Change Agent สำคัญ หากสถานที่ทำงานมีนโยบายหรือออกแบบที่คำนึงถึงการใช้ชีวิตที่สมดุลกับพนักงานและครอบครัว ภาคส่วนนี้จะมีความสำคัญมากในการทำให้เกิดสุขภาวะในครอบครัว และสาม คือการขับเคลื่อนภาคนโยบายหรือรัฐ เพื่อขยายผลพื้นที่ต้นแบบให้กว้างขึ้น โดยการส่งเสริมครอบครัวอบอุ่นในชุมชน จะดำเนินการนำร่องใน 11 จังหวัดและปี 2562 จะยกระดับเป็นจังหวัดส่งเสริมครอบครัวอบอุ่นต้นแบบ 7 จังหวัด ประกอบด้วย ลำปาง พะเยา เลย กาฬสิทธุ์ สุรินทร์ อุบลราชธานี และตรัง
"การทำงานของเราทำให้พบว่า ท้องถิ่นมีบทบาทมาก เพราะเขาดูแลใกล้ชิดอยู่ติดชีวิตประชาชน ซึ่งปัจจุบันยังมีกลไกศูนย์พัฒนาครอบครัว ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวง พม. ที่ดูแล แต่ก็ต้องมีท้องถิ่นเป็นผู้สนับสนุน ซึ่งการขับเคลื่อนตรงนี้มีความสำคัญสูง ถ้าออกแบบทำงานได้ดีโครงสร้างแบบนี้แหละที่จะทำให้เอื้อมเข้าไปถึงมือประชาชนได้จริงๆ
"ยอมรับว่าในการทำงานขับเคลื่อนเรื่องนี้ค่อนข้างยากเหมือนกัน เพราะ สสส. ไม่มีอำนาจหรือบทบาทในการไปสั่งบังคับใครให้ทำ เราทำได้คือการชักชวนเขาให้เขาเห็นความสำคัญและสนับสนุน โดยเฉพาะตัวคนในพื้นที่หรือชุมชนเอง
ด้าน แพทย์หญิงตรีธันว์ ศรีวิเชียร แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า บุคคลที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในเรื่องนี้คือตัวประชาชนเองที่จะต้องลุกขึ้นมาให้ความสำคัญในการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเอง
"จากประสบการณ์เห็นเลยว่าถ้าเราเป็นฝ่ายให้อย่างเดียว เพราะมองว่าเป็นสิ่งที่ดีทีสุดสำหรับคนไข้คนหนึ่ง เราไม่เคยได้ผลเลย แต่เมื่อไหร่ที่ครอบครัว หรือประชาชนเกิดความตระหนักว่า "เขาคือเจ้าของสุขภาพ" และชุมชนเองตระหนักว่าเขาเป็นเจ้าของสุขภาวะในชุมชนเหมือนกัน เมื่อนั้นความยั่งยืนจะเกิดขึ้น"
พญ.ตรีธันว์ กล่าวต่อว่า บุคลากรไม่ว่าจะในภาคสาธารณสุข การศึกษา หรือภาคต่างๆ ควรทำหน้าที่แค่คนที่เดินไปข้างๆ ประชาชนเท่านั้น คนที่เป็นเจ้าของสุขภาวะคือประชาชน
"เพราะทันทีที่เขารู้สึกอยากเป็นเจ้าของเขาจะรู้สึกว่าอยากได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองถ้าความคิดนี้เริ่มขึ้นก็จะเกิดการลุกขึ้นมาปรับปรุงพัฒนาคุณภาพชีวิตเขาอย่างไรบ้าง แต่เขาอาจความพร้อมด้านต่าง เช่น ความรู้ทรัพยากร เหล่านี้คือบทบาทที่หนวยงานต่างๆ จะเข้ามาเป็นโค้ชให้กับเขา" แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว รพ.พระนครศรีอยุธยากล่าว
สำหรับโครงการศึกษาครอบครัวไทยแบบบูรณาการตามวงจรชีวิตครอบครัว เรื่องครอบครัวไทยยุค 4.0 อยู่ดีมีสุขจริงหรือ? เป็นการสำรวจครอบครัวไทย 6,000 ครอบครัว ใน 4 ภูมิภาค ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง พิษณุโลก นครสวรรค์ หนองคาย อุดรธานี ยโสธร สุรินทร์ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ชลบุรี ยะลา สุราษร์ธานี สงขลา พัทลุง และกทม. โดยวัดคะแนนครอบครัวอยู่ดีมีสุขด้วยองค์ประกอบ 9 ด้าน ประกอบด้วย 1 ด้านความร่วมใจและปลอดภัยในชุมชน 2.ด้านสัมพันธภาพ 3.ด้านบทบาทหน้าที่ 4. ด้านเศรษฐกิจ 5. ด้านการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง 6.ด้านความมั่นคง และพึ่งพา 7. ด้านการศึกษา 8.ด้านการดูแลสุขภาพ และ 9 ด้านการพัฒนาจิตวิญญาณ