ครอบครัวสดใสไร้ควันพิษ’บุหรี่’

         อีกความพยายามที่จะทำให้สังคมไทยปลอดควันบุหรี่ คือการรณรงค์ชี้ให้เห็นถึงโทษร้ายกาจจากความเจ็บป่วยมากมาย ซึ่งจะต้องเริ่มปลูกฝังตั้งแต่เด็ก เยาวชน จนถึงครอบครัว รวมทั้งเพิ่มมาตรการทางกฎหมายด้วยการขึ้นอัตราภาษียาสูบ และจำกัดพื้นที่ห้ามสูบ ซึ่งขณะนี้หน่วยงานต่างๆ ก็ขานรับแนวทางนี้และปฏิบัติตาม เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งเมืองไทยจะปลอดจากควันพิษดังกล่าว ซึ่งนอกจากทำร้ายตัวผู้เสพแล้ว ยังกระทบไปสู่คนใกล้ชิดด้วย


/data/content/25653/cms/e_abdegqs24568.jpg


          ล่าสุด นางผุสดี ตามไท รองผู้ว่าฯ กทม. ได้จับมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) ประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วมโครงการสถานบริการสาธารณสุขปลอดบุหรี่ กับสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติฯ โดยให้สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่งของ กทม. ประกอบด้วย โรงพยาบาล 9 แห่ง ศูนย์บริการสาธารณสุขสังกัดสำนักอนามัย 68 แห่ง สมัครเป็นสมาชิกสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติ เพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ รวมทั้งดำเนินการตามมาตรฐานโรงพยาบาลและสถานพยาบาลปลอดบุหรี่ ตลอดจนเป็นสถานบริการสาธารณสุขปลอดบุหรี่ต้นแบบแก่สถานบริการสาธารณสุขอื่นๆ ต่อไป และในอนาคตจะขยายโครงการไปยังสำนักงานเขตอีก 50 แห่ง และโรงเรียนสังกัด กทม.ทั้ง 438 โรง ให้ปลอดบุหรี่ด้วยเช่นกัน


    /data/content/25653/cms/e_ejoprsuy1357.jpg      ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติ เพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวว่า อัตราสูบบุหรี่ของประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มี 10.91 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 20.70 ในจำนวนนี้พบว่าเป็นประชากรใน กทม. 671,744 คน คิดเป็นร้อยละ 12.03 โดยสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติฯ ตั้งเป้าลดอัตราการสูบบุหรี่ของประชากรไทยร้อยละ 15 ภายใน 14 ปี เฉลี่ยปีละ 1 ล้านคน


          พญ.ป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบำบัดผู้ติดยาเสพติด สำนักอนามัย กทม. กล่าวว่า จากข้อมูลสถานการณ์การสูบบุหรี่ในปัจจุบันในภาพรวมระดับประเทศ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ลดลง มีการลดสูบบุหรี่มากขึ้น


          แต่สิ่งที่ต้องจับตาคือ อายุของผู้ที่เริ่มสูบบุหรี่เป็นเยาวชนอายุเฉลี่ย 15-18 ปี และส่วนหนึ่งที่มีปัญหาการใช้สารเสพติดทั้งหมดมีประวัติการสูบบุหรี่ก่อนทั้งนั้น เฉลี่ยเยาวชนเริ่มหัดสูบบุหรี่อายุต่ำกว่า 15 ปี ส่วนหนึ่งมาจากสังคมและสถานที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อการลองสูบบุหรี่ มีผู้สูบบุหรี่ในบ้าน ในชุมชนเป็นแบบอย่าง


          ที่ผ่านมามีการพัฒนารูปแบบการสูบที่หลากหลาย อาทิ การสูบบุหรี่ไฟฟ้า มอระกู่ โดยมีการกล่าวอ้างว่าสูบแล้วไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่มีสารก่อมะเร็ง ดีกว่าสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างที่ผิด ยืนยันว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพไม่ต่างจากการสูบบุหรี่ ซึ่งควรที่จะต้องมีการควบคุมหรือออกกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์เหล่านี้


          "บุหรี่เป็นต้นเหตุและทำลายสุขภาพอย่างร้ายแรง และเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้สารเสพติดชนิดอื่นๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเอาจริงเอาจังในการรณรงค์ให้ความรู้ตั้งแต่วัยเด็ก เพราะผลสำรวจพบว่า เด็กที่ขอร้องพ่อแม่ที่สูบบุหรี่ หรือแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบเป็นเรื่องผิด เช่น บอกเหม็น ขอให้เลิกสูบ จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้พ่อแม่ลดปริมาณการสูบลง หรือเลิกสูบในที่สุด การรณรงค์ปลอดบุหรี่จึงเป็นการป้องกันและลดผู้ติดสารเสพติดอื่นๆ ได้" พญ.ป่านฤดีกล่าว


          ทพญ.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) สนับสนุนโดย สสส. ยังเปิดเผยผลกระทบจากควันบุหรี่มือสอง จากการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฟลอริดา สหรัฐอเมริกา พบว่า การรับสารนิโคตินจากยาสูบเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เด็กสมาธิสั้นที่รับมาจากพันธุกรรม ล่าสุดจากการทดลองในสัตว์แสดงให้เห็นว่าการได้รับสารนิโคตินก่อนคลอดมีอิทธิพลต่อสมอง ซึ่งในมนุษย์ก็เช่นกัน นิโคตินจะถูกส่งจากแม่สู่ลูก กระตุ้นโรคสมาธิสั้นในเด็ก


          ขณะที่ พญ.โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ จิตแพทย์ กรมสุขภาพจิต กล่าวเสริมว่า โรคสมาธิสั้นเป็นโรคในวัยเด็กที่นำไปสู่ภาวะก้าวร้าว ต่อต้านสังคม และปัญหาการเสพยาหรือใช้ความรุนแรงในวัยรุ่น


          จากการสำรวจความชุกของโรคสมาธิสั้นในไทย พ.ศ.2555 จากกลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้น ป.1-5 จำนวน 7,188 คนทั่วประเทศ พบว่า ความชุกของโรคสมาธิสั้นเท่ากับร้อยละ 8.1 เป็นเพศชายร้อยละ 12 และหญิงร้อยละ 4.2 หรือเพศชายมากกว่าเพศหญิง 3 เท่า


          จึงประมาณการได้ว่า มีเด็กนักเรียนไทยเป็นโรคสมาธิสั้นประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งอัตราความชุกของโรคสมาธิสั้น ในไทยมีค่าใกล้เคียงอเมริการ้อยละ 9 แต่สูงกว่าหลายๆ ประเทศที่พบประมาณร้อยละ 5-6 อาการสมาธิสั้นที่พบมากที่สุด คือ ซน หุนหันพลันแล่น ซึ่งต้องเข้ารับการรักษา


          ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ภาคี  สสส. กล่าวว่า /data/content/25653/cms/e_bghlquwy1478.jpgประเทศไทยยังขาดเรื่องการรณรงค์ให้ประชาชนทราบถึงข้อมูลสถานที่ห้ามสูบบุหรี่อย่างจริงจัง และการบังคับใช้กฎหมายมีปัญหา เนื่องจากขั้นตอนในการดำเนินการเอาผิดกับผู้ฝ่าฝืนใช้เวลานาน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข ควรมีการให้ความรู้เรื่องสถานที่ห้ามสูบด้วยการติดสติกเกอร์แสดงสัญลักษณ์ห้ามสูบที่ชัดเจน


          ส่วนการบังคับใช้กฎหมาย ควรมีการพิจารณาปรับขั้นตอนการเอาผิดด้วยการออกเป็นใบสั่ง เมื่อพบเจอผู้กระทำความผิดเหมือนผู้ที่กระทำความผิดกฎหมายจราจร เมื่อออกใบสั่งแล้วผู้ที่กระทำความผิดก็ต้องไปเสียค่าปรับตามเวลาที่กำหนด โดยเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับแจ้งจะเป็นผู้ออกใบสั่ง หากมีการปรับจะลดเวลาในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ การบังคับใช้กฎหมายจะเข้มข้นขึ้น ท้ายที่สุดจะส่งผลให้ลดการฝ่าฝืนการสูบบุหรี่ในสถานที่ห้ามสูบ


          นอกจากนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ยังเสริมว่า แม้ประเทศไทยกำหนดให้มี พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 และมีกฎหมายการติดตั้งสติกเกอร์หรือป้ายห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะ 100% เพื่อปกป้องคุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่จากควันบุหรี่มือสอง  เป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้ผู้ต้องการเลิกสูบบุหรี่ทำได้ง่ายขึ้น แต่เฉลี่ยแล้วคนไทยที่เลิกบุหรี่ได้จะติดบุหรี่นานถึง 23 ปี มีเพียง 3 ใน 10 คนเท่านั้นที่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้ ที่เหลือจะติดบุหรี่ไปตลอดชีวิต ซึ่งประเทศไทยพบ 2 ใน 3 ของคนที่ติดบุหรี่จะเริ่มติดก่อนอายุ 18 ปี ที่เหลือติดก่อนอายุ 25 ปี


          การชี้ให้เห็นโทษภัยและควบคุมพื้นที่การสูบบุหรี่ เป็นมาตรการสำคัญที่จะหยุดยั้งนักสูบหน้าใหม่ให้ห่างไกลจากควันพิษเหล่านี้ได้


 


 


          ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์


          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code