“ครอบครัว”กุญแจสำคัญเสริมสร้าง EQ
: ทางออกปัญหาความรุนแรงในเด็กและวัยรุ่น
ในปัจจุบัน สถานการณ์เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนไทย มีแนวโน้มด้านวุฒิภาวะทางอารมณ์และพฤติกรรมรุนแรงบ่อยครั้งมากขึ้น ประกอบกับผลสำรวจติดตามสถานการณ์ระดับความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ของเด็กนักเรียนไทย อายุระหว่าง 6-11 ปี ระดับประเทศ ครั้งที่ 2 ของสถาบันราชานุกูล ซึ่งสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 5,325 คน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และอีก 9 จังหวัดใน 4 ภูมิภาค ได้แก่ ปทุมธานี ระยอง สมุทรสาคร อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ นครราชสีมา ร้อยเอ็ด กระบี่ และปัตตานี พบว่าแนวโน้มคะแนน EQ มีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าปีที่ผ่านมา มีคะแนน EQ เฉลี่ยระดับประเทศที่อยู่ระดับต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ ที่ 45.12 โดยมีจุดอ่อนทั้ง 3 ด้าน คือ เก่ง ดี มีสุข ซึ่งถือว่าปัญหาเป็นปัญหาที่ทุกภาคส่วนต้องตระหนัก และเร่งหาแนวทางป้องกัน โดยมุ่งสร้างและพัฒนา EQ แก่เด็กเพื่อให้ได้ผลในทางที่ดีในระยะยาว
ดร.นพ.ไพรัตน์ ฐาปนาเดโชพล อาจารย์ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ประจำคลินิคสุขภาพจิต โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า EQ (Emotional Quotient ) คือ ความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นการทำงานของสมองในเชิงสังคม ที่มีพื้นฐานของอารมณ์มาเป็นตัวกำกับ เช่น การรับรู้และเข้าใจอารมณ์ตนเองและผู้อื่น รู้จักปรับอารมณ์ของตัวเองให้เหมาะสมได้ แสดงออกอย่างเหมาะสม สามารถใช้ชีวิตให้มีสุขได้ โดยเฉพาะเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับบริบทของสิ่งแวดล้อม ส่วน IQ เป็นการทำงานของสมองในเชิงคิดวิเคราะห์ ซึ่งนำไปสู่การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เมื่อเทียบสัดส่วน IQ : EQ ที่จะนำไปสู่การประสบความสำเร็จต่างๆ ในชีวิต แล้วนั้น อยู่ที่ 20 : 80 เลยทีเดียว สะท้อนให้เห็นว่าความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) นั้นเป็นอีกหนึ่งกุญแจดอกสำคัญของความสำเร็จในการดำเนินการต่างๆ ทั้งทางสังคมและหน้าที่การงาน
ผู้มี EQ ที่ดี ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1) เก่ง คือ มีความมุ่งมั่น พยายาม กระตือรือร้น รู้จักปรับตัว สามารถคิดหาทางแก้ไขปัญหา ในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ประสบความสำเร็จ และมีความกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก 2) ดี คือ รู้จักอารมณ์ตนเอง ใส่ใจและเข้าใจอารมณ์คนอื่น การยอมรับถูก-ผิด และ 3) มีสุข คือ ความพอใจ ภูมิใจในตนเอง มีความร่าเริงเบิกบาน การรู้จักหากิจกรรมเพื่อฟื้นฟูกำลังใจตนเองและผู้อื่นได้ การมีความมั่นคงในจิตใจ
สร้างพื้นฐาน EQ ดี ทำได้ตั้งแต่ในครรภ์
ดร.นพ.ไพรัตน์ กล่าวถึงการสร้างและพัฒนา EQ ให้ดีได้ต้องอาศัย IQ เป็นพื้นฐานในการสร้างด้วย คือ เด็กต้องมีสติปัญญาที่สามารถเรียนรู้ที่ดีได้ระดับหนึ่ง ซึ่งการสร้าง EQ ของเด็กนั้น คุณแม่สามารถดูแลได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ แม่ควรมีสุขภาพจิตที่ดี จะส่งผลที่ดีต่อพัฒนาการทางสมองของลูก จากนั้นเมื่อเด็กเกิดและเติบโต ครอบครัวต้องให้การอบรมเลี้ยงดูที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดี มีการสั่งสอนด้านคุณธรรม จริยธรรม มีการฝึกฝน อบรมให้พัฒนาตัวเองไปในเชิงสังคม รู้จักปรับอารมณ์ เข้าใจอารมณ์ตนเองและผู้อื่น ก็จะส่งผลให้เด็กมี EQ ที่ดี สามารถปรับใช้ให้อยู่อย่างมีความสุขต่อไป
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ EQ
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อระดับ EQ นั้น ดร.นพ.ไพรัตน์ ชี้แจงว่าประกอบด้วย 2 ปัจจัยสำคัญ คือ
1) ปัจจัยทางชีวภาพ คือ “ต้นทุนทางสมอง” ของเด็กที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม กับพื้นฐานทางอารมณ์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทำงานของสมองเช่นกัน โดยแต่ละคนจะมีต้นทุนไม่เท่ากัน เช่น เด็กคนหนึ่งเลี้ยงง่าย ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี แต่เด็กอีกคนกลับเลี้ยงยาก เป็นต้น
2) การอบรมเลี้ยงดู คือ ปัจจัยที่สำคัญมาก หากเด็กได้รับการอบรมเลี้ยงดูที่ดี แม้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี หรือเด็กมีปัจจัยทางพันธุกรรมไม่ดี ก็ยังสามารถพัฒนาไปในทางที่สร้างสรรค์ได้ แต่ในทางกลับกัน เด็กที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมดีแต่อยู่ในสิ่งแวดล้อม ตลอดจนได้รับการอบรมเลี้ยงดูไม่ดี ไม่ถูกต้อง เด็กก็จะมีโอกาสเป็นเด็กมีปัญหาได้เช่นกัน
นอกจากปัจจัยหลักข้างต้นแล้ว สิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกตัวแปรสำคัญ โดยเฉพาะในสังคมเมือง สิ่งแวดล้อมมีแต่มลพิษ ความวุ่นวาย แออัด การแก่งแย่งแข่งขันกันสูง มีปฏิสัมพันธ์และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกันน้อย ส่งผลให้ผู้ปกครองไม่ค่อยมีเวลาในการดูแล อบรมบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ต้นทุนของการอบรมเลี้ยงดูบุตรก็ลดน้อยลง ประกอบกับสื่อเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งเป็นสื่อที่ทันสมัย ค่อนข้างเป็นสื่อที่ยั่วยุ เร้าใจ ก็สามารถส่งผลต่อ EQ เช่นกัน ดังนั้น หากเด็กที่ได้รับการอบรมเป็นอย่างดีจากครอบครัว เขาจะใช้สื่อนี้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ในทางตรงกันข้าม กรณีเด็กที่มีปัญหาด้าน EQ ขาดวินัย ขาดการควบคุมตนเอง และขาดการเอาใจใส่จากครอบครัว ก็จะไม่มีการคิดพิจารณาในการเลือกดูสื่อประเภทนี้ คืออาจรับสื่อที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาติดเกมส์ ปัญหายาเสพติด ตามมาเป็นต้น
“จับถูก” ไม่ “จับผิด” แนวทางแก้ไขในวัยรุ่นที่มีปัญหาด้าน EQ
ในส่วนของวัยรุ่น ในปัจจุบัน นับว่ามีแนวโน้มมีปัญหาด้านการจัดการทางอารมณ์สูงมากขึ้น โดยการแก้ไขเมื่อพบว่าบุตรหลานมีปัญหาด้าน EQ คือ ผู้ปกครองหรือผู้ใกล้ชิดต้องค่อยๆ พิจารณาหาสาเหตุว่าอะไรคือที่มาของปัญหาที่แท้จริง ในขณะเดียวกัน ก็ต้องส่งเสริมความสามารถ “ด้านบวก” ของวัยรุ่น เพื่อนำมาเป็นปัจจัยตั้งต้นในการพัฒนาด้านการจัดการทางอารมณ์ และนำไปสู่การก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ที่ดีต่อไป
ดร.นพ.ไพรัตน์ กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหานี้ในวัยรุ่นว่า สาเหตุส่วนใหญ่ของวัยรุ่นที่มีปัญหา คือ ความอ่อนแอทางอารมณ์ ทำให้ไม่รู้จักอารมณ์ตนเอง ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร สิ่งใดควร ไม่ควรทำ ซึ่งโดยหลักจิตวิทยาสำหรับวัยรุ่นนั้น เป็นวัยที่ต้องการความเป็นตัวของตัวเองสูง เพื่อที่จะนำไปสู่การพัฒนาตนเองไปสู่วัยผู้ใหญ่ ดังนั้น วัยนี้เป็นวัยที่ชอบทำสิ่งที่ท้าทาย ลองผิดลองถูก แต่ถ้าทำสำเร็จด้วยตนเองก็จะภาคภูมิใจ ดังนั้น ผู้ปกครองจะหาด้านบวกที่โดดเด่นของเด็กและส่งเสริมความสามารถนั้นๆ เช่น หากเด็กชอบการแสดงออก ชอบร้องเพลง ก็ต้องส่งเสริมหาเวทีให้แสดงออก ให้กำลังใจให้เขาทำในสิ่งที่เขาชอบ เน้นเฉพาะด้านบวกนี้ เด็กก็จะพัฒนาไปในทางที่สร้างสรรค์ได้
ในทางกลับกัน หากผู้ปกครองพบว่าบุตรหลานมีปัญหาด้าน EQ แต่ไม่ให้ความใส่ใจ เด็กที่มีปัญหาอยู่แล้ว มักจะเสาะหาไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทิศทาง ไม่ตระหนักว่าสิ่งที่ทำควรหรือไม่ควร เพียงแค่ทำแล้วทำให้ตัวเองรู้สึกว่ามีคุณค่า มีความสำคัญ ยังเป็นที่รักของคนในครอบครัวและคนในสังคมของตนเองอยู่เท่านั้น โดยเด็กกลุ่มนี้จะทำทุกอย่างไม่ว่าทางบวกหรือลบ เพียงเพื่อให้คนรอบข้างสนใจ และเมื่อเกิดผลเสียขึ้น ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักนำเรื่องไม่ดีเก่าๆ มาต่อว่าเด็ก ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ผิด เนื่องจาก เมื่อย้ำบ่อยๆ เด็กจะซึมซับ ตอกย้ำตนเองว่าตนเองไม่มีข้อดี ก็จะยิ่งลองทำสิ่งต่างๆ โดยไม่คิดว่าถูกหรือผิด แต่เพียงให้ผู้ใหญ่หันมาสนใจ ตามมาแก้ไข เด็กก็จะรู้สึกว่าพ่อแม่ยังรักเขาอยู่ ซึ่งเป็นการเรียกร้องความสนใจที่ผิด
ดังนั้น การแก้ไขวัยรุ่นที่มีปัญหานี้ ผู้ปกครองต้อง “จับถูก” ไม่ “จับผิด” คือ ต้องตั้งหลักให้ดี พิจารณาว่าบุตรหลานมีความสามารถที่โดดเด่นด้านใดบ้าง แล้วดึง “จุดดี” นั้นมาเป็นปัจจัย “ตั้งต้น” แล้วสานต่อ ส่งเสริมจุดนั้น อย่างต่อเนื่องต่อไป
ปัญหา EQ ต่ำ : การป้องกัน สำคัญ กว่าการแก้ไข
ดร.นพ.ไพรัตน์ เน้นย้ำว่า “การป้องกัน” ไม่ให้เด็กมีปัญหาด้านนี้นั้น ถือว่าสำคัญกว่าการแก้ไขที่ปลายเหตุ เนื่องจาก EQ เป็นพัฒนาการทางอารมณ์ ดังนั้น จึงต้องมีการสั่งสมมาเป็นลำดับจากวัยเด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หากปล่อยให้เกิดปัญหาแล้ว จะแก้ไขค่อนข้างยาก ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุด คือ เน้นการปลูกฝัง ดูแลตั้งแต่แรกคลอด ให้การอบรมเรื่องคุณธรรมจริยธรรมอย่างดี เพื่อให้เด็กรู้จักอารมณ์ตนเอง เช่น เมื่อเขาโกรธ พ่อแม่ต้องบอกให้รู้ว่านี่คืออารมณ์ “โกรธ ไม่พอใจ” และสอนว่าควรจัดการกับอารมณ์นี้อย่างไร เมื่อเด็กรู้อารมณ์ตนเอง ก็จะสามารถจัดการกับอารมณ์ตนเองได้ ทำอะไรจะคิดถึงคนรอบข้างเป็นหลักแต่ในทางกลับกัน เด็กที่มีปัญหาด้าน EQ จะไม่รู้จักอารมณ์ตนเอง นึกอยากจะแสดงอารมณ์ใดก็แสดง โดยไม่รู้ว่าคนรอบข้างจะรู้สึกอย่างไร กล่าวง่ายๆ ว่า ยึดตนเองเป็นหลัก ไม่สนใจคนรอบข้าง
ดังนั้น โดยสรุป สิ่งสำคัญในการพัฒนา EQ ของเด็กให้ดีในระยะยาว ต้องมีการเริ่มดูแลตั้งแต่ช่วงก่อนคลอด คือ ตั้งแต่ตั้งครรภ์ แม่ควรมีสุขภาพจิตที่ดี จะส่งผลที่ดีต่อพัฒนาการทางสมองของลูก ต้นทุนทางสมองก็จะดีไปด้วย จากนั้น ภายหลังคลอด ก็ควรให้การอบรมเลี้ยงดู สั่งสอน ให้ความใส่ใจดูแลอย่างใกล้ชิด เน้นที่การเลี้ยงดูให้ถูกต้องตามพัฒนาการ ตามวัย พร้อมสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม และที่สำคัญ คือ ธรรมชาติของเด็กจะลื่นไหลซึมซับสิ่งต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ดังนั้น หากต้องการให้เด็กพัฒนาไปในทางที่ดี ก็ต้องให้เด็กได้พบเจอ เรียนรู้แต่สิ่งดีๆ รอบข้างเช่นกัน นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ต้องสอนให้เด็ก “อดทน รอคอย” ให้เป็น สิ่งนี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ตนเอง เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดู ฝึกฝนให้มีวินัยที่ดี จะสามารถควบคุมตนเอง รู้จัดอดกลั้น ยับยั้งชั่งใจ เคารพในสิทธิผู้อื่น ให้ความนับถือตนเอง เมื่อเติบโตขึ้นจะประสบความสำเร็จ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างราบรื่น ดร.นพ.ไพรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย.
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์