คบเด็กสร้างค่าย คบคนสร้างไฟฝัน

อุดมการณ์แห่งการสร้างคน

 

คบเด็กสร้างค่าย คบคนสร้างไฟฝัน

                แสงแดดเริ่มคล้อยยามบ่าย ณ ช่วงเวลาที่สายลมหนาวกำลังพัดมาในรอบปี เสียงเพลงถูกบรรเลงให้ได้ยินแว่วๆ อันเป็นเพลงที่ไม่อาจได้ยินตามวิทยุทั่วไปนัก นักศึกษาหลากหลายมหาวิทยาลัย หลากหลายท้องที่ตามสำเนียงพูด ซึ่งสื่อสารต่อกันอย่างมิได้เขินอายในเมืองใหญ่ พวกเขาพร้อมใจกันมารวมกัน ณ สวนสันติชัยปราการ พร้อมทั้งเชิญชวนมา คบเด็กสร้างค่ายกับกิจกรรมที่พวกเขามานำเสนอ

 

                ซุ้มแต่ละซุ้มต่างนำเสนอประเด็นที่หาที่กลุ่มชมรมได้มาร่วมกัน เช่น ซุ้มสิทธิ นำเสนอเกี่ยวกับประเด็นสัญชาติ ซุ้มเกี่ยวกับเรื่องเขื่อน ซุ้มเรื่องที่ดิน ซุ้มเรื่องสิ่งแวดล้อม ซุ้มเรื่องเกษตรกรรม ซุ้มค่ายสร้าง และซุ้มสุขภาพ อีกทั้งยังมีร้านจาก เด็กค่ายที่นำของทำมือมาขายแบบ แบกะดินกัน

 

                ในระหว่างที่คนต่างเดินดูของตามซุ้มอยู่นั้น บนเวทีก็เริ่มงานอย่างเป็นทางการ ก็มีวงดนตรีประจำค่าย ก็ได้มาวาดลวดลายบทเพลงที่ขับร้องกันในกิจกรรมค่ายอาสา อันเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นถึงตัวตนของพวกเขา ผสมกับเพลงที่บ่งบอกถึงภูมิภาค ทั้งเหนือ อีสาน หรือใต้

 

                จากนั้น ทางเวทีก็เริ่มส่งเสียงเรียกร้องความสนใจ เพื่อเรียกคนมารวมกันหน้าเวที ก่อนที่จะเริ่มด้วยการร้องเพลง ดอกไม้อาสาร่วมกัน และพร้อมทั้งต่างมอบดอกไม้และรอยยิ้มให้แก่กัน

 

                สำหรับกิจกรรม ณ สวนสันติชัยปราการนี้ เกิดขึ้นในวาระที่โครงการค่ายอาสาได้เกิดขึ้นมาเป็นปีที่ 4 ดังนั้นในปีนี้ จึงได้จัด มหกรรมค่ายสร้างสุข ตอน คบเด็กสร้างค่ายขึ้นมา

 

                 ร้อนไหมครับ ร้อนกว่าชาวไร่ชาวนาไหมครับนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานมูลนิธิโกมล คีมทอง ได้เกริ่นถามนักศึกษาที่มาร่วมกันในงาน ก่อนที่จะเล่าถึงประสบการณ์ของตนในวัยเรียนที่ไปสัมผัสชนบทผ่านค่าย ในตอนนั้น ทั้งๆ ที่ตอนแรกไม่ได้อยากไปค่าย ไม่รู้สึกน่าสนใจเพราะเป็นคนชนบทอยู่แล้ว ผม เป็นคนบ้านนอก ที่บ้านไม่ไฟฟ้า ต้องอ่านหนังสือโดยใช้แสงจากตะเกียง ต้องไปหาบน้ำในบ่อ ผมจึงคิดว่าผมรู้จักบ้านนอกดี ดังนั้น เมื่อมีคนชวนไปค่าย ผมจึงไม่ค่อยสนใจ แต่ว่าผมเห็นเพื่อนที่ไปค่ายกลับมาแล้วเขาจะรู้สึกซึ้งมาก ผมรู้สึกแปลกใจ ผมจึงลองไปดู

 

                นายแพทย์วิชัย กล่าวถึงตนเองในอดีตที่คิดว่าตนเองรู้จักชนบทดี แต่จากการได้ไปค่าย เหมือนกับว่าเป็นการเปิดโลก แม้ว่าสิ่งต่างๆ รอบตัวจะสัมผัสกับชนบท แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร แต่พอได้ไปค่าย ทำให้ไปได้พบเจอปัญหาต่างๆ ของชาวบ้าน และมาช่วยกันคิดว่าจะช่วยเหลือได้อย่างไร

 

                 การเรียนของเราขาดสมดุล การเรียนต้องเรียนให้ครบทุกมิติ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และสังคม แต่ในมหาวิทยาลัยเราได้มาพบกันในห้องเรียนกันเป็นส่วนใหญ่ การเรียนก็คิดว่าทำอย่างไรเพื่อให้สอบให้ผ่าน ไม่ได้สนใจการพัฒนาการด้านร่างกาย การออกกำลังกายก็สนใจกันน้อย

 

                นอกจากนี้ นายแพทย์วิชัย ยังได้กล่าวถึงประเทศอังกฤษที่มีระบบการศึกษาที่ไม่ได้สอน เพียงแค่ความรู้ แต่ยังสอนการใช้ชีวิตด้วย “โรงเรียนที่อังกฤษเป็นโรงเรียนประจำ ที่หอพักไม่ใช่เพียงแค่ที่หลับนอน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษา เช่นเดียวกับประเทศจีนที่ให้ความสำคัญกับหอพัก ให้นักศึกษาพักหอรวมกัน ทำให้มีเวลามากในการเรียนรู้แทนที่จะใช้เวลาไปในการเดินทาง ต่างกับรัฐบาลของไทยทุกยุคสมัย ที่ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องหอพักเลย”

 

                 การไปทำค่ายเป็นบทเรียนจากของจริงเป็นโอกาสที่ฝึกฝนได้ดีเยี่ยม ได้เห็นและเรียนรู้คนที่เขาลำบากและด้วยกว่าเรา มูลนิธิโกมลคีมทองได้เป็นผู้เชื่อมต่ออุดมคติที่ครูโกมล อดีตนักศึกษาครุศาสตร์ ได้ทิ้งไว้ให้คนรุ่นต่อไป ดังที่ครูโกมลได้อุทิศตนไปทำงานในที่ห่างไกล แม้ครูโกมลจะเสียชีวิตไป แต่อุดมการณ์ไม่ได้ตายไปด้วย

 

                 เยาวชนเป็นอนาคตของชาติใช่ไหม? ไม่ใช่ แต่เยาวชนเป็นปัจจุบันของชาติต่างหากนายแพทย์กำจร ตติยกวี คณะกรรมการแผนพัฒนาโครงการเปิดรับทั่วไปและนวัตกรรม สสส. ถามถึงความสำคัญของเยาวชน ทว่าคำถามนี้คงเป็นสิ่งที่เยาวชนต้องตอบด้วยตัวเขาเอง

 

                มาหาอะไรในมหาวิทยาลัย? นพ.กำจร เปรยเชิงคำถามและกล่าวต่อว่า เราไม่ได้ต้องการเพียงแค่มาหาความรู้ แต่เราต้องการมาหาชีวิตและความเป็นจริง สี่ปีในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงที่มีอิสระทางความคิด หลังจากนั้นแล้วก็จะเริ่มอิสระยากขึ้น

 

                ช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงชีวิตที่มีโอกาส เกิดการไปทำค่ายที่ไปช่วยเหลือผู้อื่น แต่ว่าต่อมาอุดมคติเหล่านี้ก็หายไป ค่ายก็กลายเป็นอยากที่จะไปสนุกสนาน ไปกินเหล้า การพนัน บุหรี่ ดังนั้น สสส. ก็อยากสนันสนุนให้เยาวชนมีโอกาส สร้างค่ายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

 

                ต่อจากนั้น พี่อ๋อย จากชุมชนคลองโยง อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ที่เหล่านักศึกษาเด็กค้ายต่างได้ไปสัมผัสลงพื้นที่ปัญหาชุมชนมาแล้ว และในวันงานมหกรรมนี้ ชุมชนคลองโยงก็มาทำอาหารในงานอีกด้วย เริ่มต้นพี่อ๋อย กล่าวด้วยน้ำเสียงชวนให้เด็กค่ายหวนคิดถึงวันวานที่ไปค่าย เรียนรู้เรื่องที่ดินที่ชุมชนคลองโยง พ่อก็บอกกับลูกๆ ทุกคน ว่าเมื่อไรจะกับไปที่ชุมชนอีกครั้งนึง คนในชุมชนก็ฝากคิดถึงมาและพี่อ๋อยก็ยังฝากประเด็นปัญหาและเชิญชวนเด็กค่ายทั้งหลายไปทำค่ายกันอีก ครั้ง

 

                จากนั้นตัวแทนนักศึกษาได้กล่าวถึงข้อเสนอแนะการสนับสนุนกิจกรรมนักศึกษา และส่งมอบให้แก่ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน สุดท้ายในงานพิธีตัวแทนนักศึกษาก็ได้มอบดอกไม้ อันเป็นสัญลักษณ์จากบทเพลง ดอกไม้อาสาให้ทั้งสี่ท่าน

 

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ที่มารูป: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

 

 

update: 08-12-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร

Shares:
QR Code :
QR Code