คนไร้ที่พึ่ง ไม่ได้ป่วยทางจิตทุกคน
ที่มา : กรมสุขภาพจิต
กรมสุขภาพจิต ปรับแผนให้บริการปฐมพยาบาลทางใจ หลังพบภาพรวมจิตใจคนไทยไม่น่าห่วง วอน สังคมเข้าใจ คนไร้ที่พึ่ง ไม่ได้ป่วยทางจิตทุกคน พบไม่ถึง 10% จากความร่วมมือกับ พม.
แฟ้มภาพ
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เผยถึงภาพรวมสภาพจิตใจคนไทย รอบ 2 เดือน จากการให้บริการปฐมพยาบาลทางใจ โดยทีม MCATT หรือ ทีมปฏิบัติการช่วยเหลือเยียวยาจิตใจ จากหน่วยงานสังกัดกรมสุขภาพจิตทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ 57 ทีม ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนให้บริการประชาชน ตั้งแต่ 14 ตุลาคม เป็นต้นมา ณ บริเวณรอบสนามหลวง และรถโมบายปฐมพยาบาลทางใจ พบว่า ภาพรวมจิตใจคนไทย ไม่น่าห่วง เนื่องจากสามารถปรับตัวได้ตามกลไกทางจิตวิทยา
เมื่อพ้นช่วง 2 สัปดาห์ไปจนถึง 3 เดือน อย่างไรก็ตามยังคงให้บริการจนครบ 100 วัน ณ หน่วยบริการปฐมพยาบาลทางใจบริเวณสนามหลวงฝั่งเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า และบริเวณท่าช้าง ส่วนรถโมบายปฐมพยาบาลทางใจคลายเครียด จะให้บริการจนถึงวันที่ 28 ธันวาคม นี้
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลา 2 เดือนของการให้บริการ พบ ผู้มาขอรับบริการมีภาวะเสี่ยงสุขภาพจิต 5 พันกว่าราย มีเพียง ร้อยละ 3 เป็นผู้ป่วยจิตเวช ส่วนใหญ่ได้รับการวินิจฉัยเป็น โรคจิตเภท ซึ่งมีอาการกำเริบจากการขาดยา และมีเพียง ร้อยละ 2 ที่มีความคิดฆ่าตัวตาย โดยจะพบในกลุ่มโรคซึมเศร้าร่วมกับปัญหาความเครียดส่วนตัวที่สะสมมานาน เช่น ปัญหาครอบครัว เศรษฐกิจ เคยมีประวัติทำร้ายตัวเองมาก่อน ทั้งหมดได้รับการปฐมพยาบาลทางใจและส่งต่อเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาอย่างทันท่วงที ส่วนที่เหลือจะเป็นปฏิกิริยาปกติโดยทั่วไปของความเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ ฟูมฟาย และความเครียดสะสมที่มาจากปัญหาส่วนตัว/การงาน/โรคเรื้อรังทางกาย เป็นต้น แต่พบจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ
นอกจากนี้ จากความร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ จิตอาสา และ กทม. เพื่อจัดระเบียบในการแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งในพื้นที่สนามหลวง ตั้งแต่คืนวันที่ 28-30 พ.ย. คืนวันที่ 1 และ 8 ธ.ค. กรมสุขภาพจิต ได้คัดกรองปัญหาสุขภาพจิตคนไร้ที่พึ่ง จำนวนทั้งสิ้น 191 ราย ในจำนวนนี้ พบ ป่วยทางจิตเวช ไม่ถึง ร้อยละ 10 โดยได้ส่งต่อผู้ป่วย 3 รายที่มีอาการรุนแรง ไปยังสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา และ รพ.ศรีธัญญา ขณะที่ อีก 14 ราย ส่งต่อบ้านมิตรไมตรี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อเฝ้าระวังเนื่องจากมีอาการทางจิตเพียงเล็กน้อยยังไม่ถึงขั้นรุนแรง
อย่างไรก็ตาม จากการคัดกรองคนไร้ที่พึ่งในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการร่วมแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่ง ตลอดจนส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงบริการบำบัดรักษามากขึ้น เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยและสังคม ตลอดจน เป็นโอกาสที่จะทำให้สังคมเห็นว่า จริงๆ แล้ว คนไร้ที่พึ่งที่เดินตามท้องถนนหรืออาศัยตามสถานที่สาธารณะต่างๆ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่ป่วยทางจิตเวชจริงๆ ซึ่งตรงนี้ หลายคนมักเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ตอกย้ำตราบาปให้กับผู้ป่วยจิตเวช จากการมองคนไร้ที่พึ่งที่พบเห็น เป็นผู้ป่วยทางสุขภาพจิต เป็นคนบ้า คนไม่เต็ม ทั้งหมด ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น จึงเป็นการดีที่จะใช้โอกาสนี้สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับสังคมได้อีกทางหนึ่ง เพื่อช่วยลดตราบาปให้กับผู้ป่วย ตลอดจนส่งเสริมการเข้าถึงบริการสุขภาพจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว