คนไทยขยาดหวัดนรก 2009
‘เสธ.หนั่น‘ชี้หมดทางคุม
คนไทยตื่นตระหนกไข้หวัดใหญ่ 2009 สวนดุสิตโพลระบุ 91% มองว่ารุนแรงมากขึ้น ซ้ำรอย 82% เห็นว่าน่ากลัว ประจานรัฐคนเชื่อน้ำยาหมอพื้นบ้านมากกว่า “รัฐบาล-สาธารณสุข” เอแบคโพลล์กระหนาบเกินกว่า 60% ไม่สวมหน้ากากอนามัยในที่สถานะทุกแห่ง “เสธ.หนั่น” รับแล้วคุมไม่อยู่ พิโธ่! สาธารณสุขคิดทางแก้ จัดประกวดออกแบบหน้ากาก “หญิงหน่อย” จวกเละ ต้องกล้า อย่ามัวมะงุมมะงาหรา
เมื่อห้วงวันศุกร์ ได้มีโพลล์ 2 สำนักสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่องเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อย่างพร้อมเพรียงกัน โดยสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ได้สำรวจประชาชน 1,215 ครัวเรือน ใน 17 จังหวัด ในขณะที่สวนดุสิตโพลล์ได้สำรวจประชาชน 1,194 คน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
โดยนายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ระบุถึงผลสำรวจพบว่า ประชาชนถึง 61.4% ยังไม่เข้าใจดีเรื่องการป้องกันไข้หวัด มีเพียง 38.6% ที่เข้าใจดี แต่เมื่อถามถึงการปฏิบัติตัวในสถานที่ต่างๆ กลับพบว่า 88.7% ไม่ใส่หน้ากาก ในคอนโดมิเนียมหรือหอพัก 73.8% ไม่ใส่ในสถานที่ท่องเที่ยว 71.7% ไม่ใส่ในห้างสรรพสินค้า 69.1% ไม่ใส่ในโรงภาพยนตร์ สถานบันเทิง 63.5% ไม่ใส่บนรถเมล์ รถแท็กซี่ และ 63.2% ไม่ใส่ในสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก
“ที่น่าพิจารณาคือ ผลวิเคราะห์สถิติวิจัยพบว่า ปัจจัยเสี่ยงต่อการไม่สบายจากไข้หวัด 2009 คือ ผู้ที่เดินทางโดยรถโดยสาร รถเมล์ รถแท็กซี่โดยไม่ใส่หน้ากาก เสี่ยงสูงเกือบ 4 เท่า คือ 3.832 เท่าของผู้ที่ใส่หน้ากาก ส่วนผู้เดินทางไปสถานที่ที่มีคนจำนวนมากโดยไม่ใส่หน้ากาก จะเสี่ยง 2.297 เท่าของผู้ที่ใส่หน้ากาก ผู้ที่เดินทางไปห้างสรรพสินค้า เสี่ยง 2.174 เท่า”
เมื่อถามถึงการปกปิดข้อมูลเรื่องไข้หวัด 2009 นั้น พบว่า ประชาชน 45.8% คิดว่ารัฐบาลกำลังปกปิด 54.2% ไม่คิดว่าปกปิด และเมื่อถามถึงความกังวลต่อการแพร่ระบาด พบว่า 61.1% กังวลค่อนข้างมาก-มากที่สุด 18.4% ปานกลาง และ 20.5% ระบุค่อนข้างน้อย-ไม่รู้สึกกังวล ด้านสวนดุสิตโพลล์ ระบุผลสำรวจเรื่องสถานการณ์ความรุนแรงว่า 91.67% มองว่ารุนแรงมากกว่าที่ผ่านมา 5.25% ไม่แน่ใจ มีเพียง 3.08% ที่บอกเหมือนเดิม เมื่อถามความรู้สึก 82.29% บอกว่าน่ากลัว มีแค่ 17.17% บอกไม่น่ากลัว ส่วนเมื่อถามถึงมาตรการปิดโรงเรียนกวดวิชานั้น 68.75% บอกไม่ได้ผล 31.25% บอกได้ผล และเมื่อซักเรื่องความเพียงพอต่อมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลประกาศออกมา 89.58% มองว่าไม่เพียงพอ 10.42% บอกเพียงพอ ส่วนเมื่อถามถึงผลความเชื่อมั่นต่อหน่วยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว พบว่า เชื่อมั่นมากสุด 74.47% คือแพทย์ไทย ในขณะที่เชื่อมั่นรัฐบาลเพียง 38.30% และกระทรวงสาธารณสุข 31.91% โดยหากคิดเป็นคะแนนเต็ม 10 แพทย์ไทยได้ 7.41 คะแนน รัฐบาลได้ 5.69% และ สธ.ได้ 68.90%
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลสำรวจว่า สธ.และผู้เกี่ยวข้องทำเต็มที่แล้ว ซึ่งโรคนี้หากระบาดจากคนสู่คนแล้วมันหยุดยั้งไม่ได้แล้ว เพียงแต่ต้องหาวิธีว่าป้องกันและรักษาอย่างไรเท่านั้น เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ ทำได้เพียงเฝ้าระวัง
“การระบาดของโรคนี้จะไปโทษนักการเมืองคงไม่ได้ ก็พยายามทำกันอย่างถึงที่สุดแล้ว ถือว่าเราก็เป็นช้ากว่าที่อื่นแล้ว แต่พอเกิดระบาดคนสู่คนก็จบแล้ว ก็ต้องไปทั่ว” พล.ต.สนั่นยอมรับ
วันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดย นพ.วิชัย โชควิวัฒน รองประธาน สสส.คนที่ 2 แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมได้พิจารณาวาระเร่งด่วนเรื่องคือ การป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 โดยจะดำเนินการ 3 มาตรการที่สำคัญ คือ 1.จัดระบบจัดการดูแลผู้ป่วย 2.สร้างความเข้าใจแก่ประชาชน และ 3.วางมาตรการควบคุมโรคอย่างเป็นระบบ
“นายกฯ ยังสั่งการให้ สสส.รณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชน โดยเฉพาะการจัดทำระบบโทรศัพท์สายด่วน และยังมีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยมี นพ.มงคล ณ สงขลา เป็นประธาน” นพ.วิชัยกล่าว
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการประเมินสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 คาดว่าการแพร่ระบาดจะขยายตัวไปทั่วประเทศ และอาจยาวนานถึง 2 ปี สธ.จึงจัดยุทธศาสตร์สู้ภัยโรค โดยรณรงค์ให้คนไทยใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ ซึ่งจากการรณรงค์ก็พบว่าคนตื่นตัวมากขึ้น ทำให้มีการโก่งราคาหน้ากากอนามัย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ควรมีมาตรการดูแล
“ประชาชนกลัวก็ดีแล้ว ซึ่งกระทรวงจะเร่งรณรงค์ให้เข้มข้นมากขึ้น” เขากล่าวถึงโพลล์สำรวจที่คนกว่า 80% กลัวโรคและไม่พอใจผลงานกระทรวง
นายวิทยายังกล่าวถึงกรณีสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ยังรายงานยอดผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ ทั้งๆ ที่กระทรวงจะรายงานสัปดาห์ละ 1 ครั้งว่า ได้สั่งให้ นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัด สธ. ซึ่งเป็นคนรวบรวมข้อมูล และแถลงข่าวสัปดาห์ละ 1 ครั้ง กำชับไปยัง สสจ.ไม่ให้มีการรายงานตัวเลขรายวัน เพราะไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ แค่มีความตื่นเต้นเท่านั้น
ดร.นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า เพื่อสร้างกระแสตื่นตัวในเรื่องการใส่หน้ากากอนามัย จึงได้จัดประกวดการออกแบบหน้ากากอนามัย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.การออกแบบหน้ากากอนามัยทั่วไปมี 4 ระดับ ได้แก่ ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา และบุคคลทั่วไป ผู้ชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 3,000 บาท และรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 2,000 บาท และ 2.การออกแบบแฟชั่นหน้ากากให้เข้ากับเสื้อผ้าที่สวมใส่ มี 5 รางวัล ได้แก่ 50,000 บาท 30,000 บาท 20,000 บาท และ 10,000 บาทอีก 2 รางวัล
นายมานิต นพอมรบดี รมช.สธ. กล่าวว่า ได้ขอความร่วมมือไปยังผู้บริหารร้านสะดวกซื้อรายใหญ่และผู้บริหารห้างสรรพสินค้า ขอความร่วมมือในการรณรงค์ป้องกันแพร่ระบาดโรค ซึ่งกระทรวงเตรียมจัดพิมพ์แผ่นคำแนะนำการป้องกันและดูแลตนเอง เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ใช้บริการในสัปดาห์หน้า และจะขอความร่วมมือให้เป็นตัวแทนจำหน่ายหน้ากากอนามัยโอท็อปของกลุ่มแม่บ้านทั่วประเทศด้วย
สำหรับบรรยากาศในต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ประชาชนต่างไปหาซื้อฟ้าทะลายโจรกันอย่างมาก ทำให้บางจังหวัดขาดแคลน เช่นเดียวกับหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือ
ด้านนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อดีต รมช.สธ. และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน ได้ร่วมแถลงข่าวถึงสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ว่า เชื่อว่าจะมีผู้ติดเชื้อมากกว่ารัฐบาลประเมินแค่ 2 แสนคน และจะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มต่อเนื่อง รัฐบาลจึงต้องเร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด โดยพรรคจะจัดเวทีระดมความคิดในหัวข้อ “ร่วมฝ่าวิกฤติไข้หวัด 2009″ ในวันที่ 18 ก.ค.นี้
“อยากเรียกร้องรัฐบาลให้เร่งประกาศวาระแห่งชาติในเรื่องนี้ ซึ่งรัฐบาลต้องยอมรับขณะนี้สถานการณ์ถือว่ารุนแรง และประชาชนอยู่ในความเสี่ยง โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว จึงไม่ควรที่จะนิ่งนอนใจอีกต่อไป” นพ.ชลน่านระบุ
ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต รมว.สธ. กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้นายกฯ ทบทวนมาตรการควบคุมและสกัดไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยด่วน เพราะมาตรการกลัวๆ กล้าๆ มะงุมมะงาหราที่ทำอยู่ ไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้เลย ไม่ใช่มัวแต่มานั่งแก้ตัวว่ายังระบาดไม่รุนแรง ตายไม่รุนแรง ยิ่งรัฐบาลปล่อยให้เหตุการณ์ยืดเยื้อจะยิ่งทำให้สูญเสียชีวิตและกระทบต่อเศรษฐกิจ
“ขอเรียกร้องให้รัฐบาลต้องกล้าใช้มาตรการ เด็ดขาด รวดเร็ว และครอบคลุม ทำให้ปัญหาจบเร็วขึ้น อย่ารอจนประชาชนต้องตายไปอีกหลายราย” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
คุณหญิงสุดารัตน์เสนอว่า 1.รัฐบาลควรตัดสินใจเลื่อนเวลาปิดเทอมมาในช่วงนี้ รวมทั้งโรงเรียนกวดวิชา 2.ต้องมีมาตรการการควบคุมแพร่ระบาดที่เข้มงวดกว่านี้ โดยเมื่อพบผู้ป่วยต้องแยกผู้ป่วยและผู้ที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยออกจากผู้อื่นโดยเด็ดขาด 3.รัฐบาลมีแผนรองรับความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนอย่างไรบ้างในการซื้อวัคซีนที่ไม่รับรองผลข้างเคียง 4.ปรับปรุงจุดอ่อนในการสกัดโรค โดยเฉพาะที่สนามบิน 5.รัฐบาลต้องระวังและเตรียมรับมือกับการระบาดรอบ 2 รวมทั้งการกลายพันธุ์ 6.จัดสัปดาห์รณรงค์ปลุกจิตสำนึกในการสกัดไข้หวัด 2009 ร่วมกันทั้งประเทศ.
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Update:02-09-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่