คนขับรถพยาบาลต้องมีใบขับขี่เฉพาะ
สธ.เล็งออกใบขับขี่รถพยาบาลสร้างมาตรฐานความปลอดภัย หลังพบรถพยาบาลฉุกเฉินเกิดอุบัติเหตุเจ็บตายสูงกว่ารถตู้ทั่วไป 3 เท่า ทั้งที่สภาพรถยังอยู่ดี สธ.เร่งจัดอบรมพนักงานขับรถด่วน พร้อมจับมืมกรมขนส่งออกใบขับขี่เฉพาะ ควบคุมทั้ง รพ.รัฐ – เอกชน – มูลนิธิกู้ภัย
ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ต จ.ปทุมธานี นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดอบรมพนักงานขับรถพยาบาลฉุกเฉิน (Thai Emergency Ambulance Driving Course) จากโรงพยาบาลในสังกัดและโรงพยาบาลเอกชนรุ่นแรก ว่า ที่ผ่านมามีรถพยาบาลฉุกเฉินเกิดอุบัติเหตุเกิดระหว่างรับส่งผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินบ่อยครั้ง ในรอบเกือบ 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555 – 12 มิ.ย. 2557 สำนักสาธารณสุขฉุกเฉิน (สธฉ.) รายงานมีรถพยาบาลฉุกเฉินในสังกัดทั่วประเทศ เกิดอุบัติเหตุรวม 27 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 119 ราย เสียชีวิต 18 ราย อัตราการเสียชีวิตเฉลี่ยร้อยละ 15 สูงกว่ารถตู้โดยสารทั่วไป 3 เท่าตัว แนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพยาบาล เจ้าหน้าที่กู้ชีพ ผู้ป่วย และญาติ ทั้งที่การประเมินรถพยาบาลฉุกเฉินของโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศกว่า 800 แห่ง ประมาณ 2,500 คัน สภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน พร้อมปฏิบัติงาน จึงต้องเร่งป้องกันแก้ไขปัญหา
นพ.วชิระ กล่าวอีกว่า ในระยะสั้นได้จัดหลักสูตรอบรมพนักงานขับรถพยาบาลฉุกเฉินโรงพยาบาลทุกแห่งให้เป็นมืออาชีพ เรียนรู้ทั้งทฤษฎีความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน การดูแลรักษาตรวจเช็กความพร้อมของรถ กฎหมายจราจร การใช้วิทยุสื่อสาร เทคนิคการขับรถเชิงป้องกันอุบัติเหตุ และฝึกทักษะการขับรถในสถานการณ์ต่างๆ เพิ่มความคล่องตัวต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ยิ่งขึ้น ส่วนระยะยาว สธ. ได้ร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก และหน่วยงานเกี่ยวข้อง พิจารณาหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตการขับขี่รถพยาบาลฉุกเฉินโดยเฉพาะ ซึ่งขณะนี้ไทยยังไม่เคยมีใช้ แต่ในต่างประเทศมีแล้ว โดยมาตรการนี้จะให้มีผลบังคับใช้กับรถพยาบาลฉุกเฉินในสถานพยาบาลทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชน รวมทั้งมูลนิธิกู้ภัย เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ สร้างความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน สามารถนำผู้ป่วยส่งถึงมือแพทย์ยังโรงพยาบาลปลายทาง
ด้าน นพ.อนุรักษ์ อมรเพชรสถาพร ผอ.สธฉ. กล่าวว่า สธฉ.ร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ศึกษาและกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยรถพยาบาลฉุกเฉินในระบบการแพทย์ฉุกเฉินไว้ 7 ประการ ได้แก่ 1. พนักงานขับรถพยาบาล ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรการขับรถพยาบาลที่เหมือนจริง มีใบขับขี่รถพยาบาลเท่านั้น มีการตรวจแอลกอฮอล์ในลมหายใจและตรวจสารเสพติดในปัสสาวะก่อนขับ ผ่านการทดสอบสุขภาพจิต 2. พยาบาลที่ปฏิบัติงาน ต้องสามารถดูแลผู้ป่วยเฉพาะโรคหรือการบาดเจ็บของผู้ป่วยที่ส่งต่อได้ 3. รถพยาบาลต้องมีโครงสร้างตัวถังรถที่แข็งแรง มีการตรวจเช็กสภาพรถ ติดตั้งจัดหาอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น เข็มขัดนิรภัยที่ยึดกับตัวเบาะที่นั่ง หรือยึดกับตัวรถ 4. ติดตั้งระบบจีพีเอส (GPS) ประจำรถ เพื่อสามารถติดตามตำแหน่งพิกัดของรถพยาบาล และควบคุมความเร็วได้
ผอ.สธฉ. กล่าวต่อว่า 5. การกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ข้อบ่งชี้ของการส่งต่อผู้ป่วย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการส่งต่อในช่วงเวลาไม่เหมาะสม 6. จำกัดความเร็วรถพยาบาลฉุกเฉินไม่เกินกฎหมายกำหนด ให้ยึดกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และ 7. ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน หากพบรถพยาบาลฉุกเฉินที่เปิดสัญญาณไฟขอให้หลีกทาง เพื่อให้รถพยาบาลส่งผู้ป่วยถึงมือแพทย์ยังโรงพยาบาลปลายทางปลอดภัยที่สุด ทั้งนี้ หลักสูตรการอบรมพนักงานขับรถพยาบาลฉุกเฉิน จะใช้เวลาหลักสูตรละ 4 วัน และจะขยายผลให้เขตบริการสุขภาพทั้ง 12 เขตดำเนินการจัดอบรมให้ครบทุกแห่ง และภาคปฏิบัติที่สนามฝึกขับรถยนต์ ของสำนักงานขนส่งจังหวัดนั้นๆ
ที่มา : เว็บไซต์มติชนออนไลน์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต