“ข้าแห่งราษฎร” กลไกการปฏิรูป

ทิศทางปฏิรูปประเทศ

 

 

          ถือเป็นอีกหนึ่งความคืบหน้าและความเคลื่อนไหวของการปฏิรูปประเทศไทยตามนโยบายของรัฐบาล เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดผ่านรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ประจำวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ย.2553 ว่า

 

         ..จะดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการปฏิรูปการเมืองให้เสร็จสิ้นก่อนสิ้นปีนี้..

 

“ข้าแห่งราษฎร” กลไกการปฏิรูป

          แปลไทยเป็นไทยว่า..รัฐบาลไม่ได้ลืมนะกับสัญญิงสัญญาว่า จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทิศทางที่ดีขึ้น และให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งนับแต่วันที่รัฐบาลประกาศนโยบายการปฏิรูปประเทศ และนายกฯอภิสิทธิ์ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ก็กินระยะเวลาใกล้ครึ่งปีแล้ว

 

          การแถลงหรือรายงานผลการติดตามงานการปฏิรูปในครั้งนี้ จึงถือเป็นความเคลื่อนไหวที่น่ายินดี เพราะอย่างที่รู้ๆ กันครับว่า จะเปลี่ยนแปลงอะไรนั้น มันต้องค่อยเป็นค่อยไป และต้องใช้เวลา โดยเฉพาะเรื่องยากๆ เรื่องซับซ้อน ย่อมต้องมีรายละเอียด ทั้งในการศึกษารวมรวมข้อมูล การทำความเข้าใจ ซึ่งก็หมายถึงการกินเวลามากเป็นเงาตามตัว

 

          สำหรับแผนปฏิบัติการที่นายอภิสิทธิ์รายงานให้ทราบนั้น จะถูกใจคนไทยทั้ง 67 ล้านคนหรือเปล่านั้น ผมว่าคงต้องเฝ้าติดตามตรวจสอบต่อไปครับ ถึงแม้ว่า 4 ประเด็นหลักของการปฏิรูปนั้นครอบคลุมความจำเป็นและความต้องการอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา สวัสดิการสังคมและปัญหาสิ่งแวดล้อม

 

          อย่างน้อยที่สุด…วันนี้ ! ผมก็ให้คะแนนความพยายามของนายกฯนะครับ

 

          โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2 ประการ

 

          ประการแรก ความเอาจริงเอาจังที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปให้เป็นจริงให้ได้

 

          แม้ดูเหมือนบางเรื่องบางราวที่กำลังพยายามทำอยู่นั้น จะสวนกระแส หรือต้องต่อสู้กับสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจเท่าไรนัก

 

          กรณีนักการเมืองไม่ยอมแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ท่ามกลางเสียงเรียกร้องเพื่อความโปร่งใสในการเลือกตั้งซ่อม น่าจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดอันหนึ่งว่า การปฏิรูปการเมืองไทยคงต้องใช้ระยะเวลาอีกยาวนาน..จริงไหมครับ

 

          อีกอย่าง นโยบายปฏิรูปประเทศไทยจะถูกมองว่าเป็นเกมทางการเมืองอยู่ร่ำไป ตราบเท่าที่ผู้มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองนั้น ก็มิได้กระทำตนเป็นตัวอย่างหรือแสดงตนเป็นผู้นำด้านจิตสำนึกใหม่แต่อย่างใด…ผมจึงต้องให้คะแนนความพยายามในข้อนี้ไง!

 

          ประการที่สอง การเข้าใจเข้าถึงข้อเท็จจริงว่า การทำงานปฏิรูปจะต่อเนื่องจนถึงขั้นบรรลุผลสำเร็จได้ ต้องพึ่งพาข้าราชการ

 

          ประเด็นนี้เป็นการตีโจทย์แตกของนายกฯ อภิสิทธิ์ครับ เราจึงได้ยินได้ฟังจากปากนายอภิสิทธิ์ว่า จะมีการประชุมหรือ “เข้าค่าย” บรรดาข้าราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการจัดทำแผนปฏิบัติการ เพราะต้องยอมรับความจริงว่า เราอาจจะมีคณะกรรมการปฏิรูปชุดที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำงานอย่างขมักเขม้น และมีคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปที่มีประสิทธิภาพ โดยการนำของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ตลอดจนคณะอนุกรรมการชุดอื่นๆ ที่เต็มใจเต็มที่ในการเป็นกองหนุนเพื่อการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย

 

          แต่ถ้าเขียน “โรดแม็พ” ปฏิรูปประเทศไทยเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ไม่มีใครนำไปลงมือทำหรือปฏิบัติไปตามแผนแม่บท เพราะเขาไม่เข้าใจ เขาไม่เห็นด้วย เขารู้สึกว่าเขาไม่เกี่ยว ธุระไม่ใช่ และ ฯลฯ สัมฤทธิ์ผลที่ต้องการย่อมเป็นไปไม่ได้..จริงไหมครับ?!?

 

          บรรยากาศของข้าราชการที่ทำตนเป็นรถเกียร์ว่าง สร้างผลกระทบอย่างไรต่อสังคมไทย ผมเชื่อว่าทุกคนยังคงจะพอจำได้ ฉะนั้น..นอกจากขอความร่วมมือร่วมใจกับประชาชนคนไทยในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีกว่า คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ข้าราชการ” เป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญ

 

          ปฏิรูปการศึกษา จะสำเร็จได้อย่างไร หากข้าราชการครูและอาจารย์ตามสถาบันการศึกษาต่างๆ มิได้เห็นดีเห็นงามและมองเห็นปัญหาสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติการที่คณะกรรมการปฏิรูปเสนอแนะ หรือคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปชี้แนวทาง

 

          ปฏิรูปเศรษฐกิจ จะเป็นจริงได้เมื่อไหร่ ถ้าหากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การค้าการลงทุน การพลังงาน การอุตสาหกรรม การพาณิชย์ การเกษตร เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แล้วปล่อยให้เอกชนลงมือทำแต่ฝ่ายเดียว

 

          ปฏิรูปสวัสดิการสังคม และคุณภาพชีวิต ตลอดจนปฏิรูปสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดชีวิตที่ดีกว่า ยิ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน หากผู้มีอำนาจหรือมีกฎหมายในมืออย่างข้าราชการตามกระทรวง ทบวงกรมที่เกี่ยวข้องต่างๆ ไม่เห็นความสำคัญของการบริหารจัดการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคให้เกิดขึ้น

 

          ข้าราชการการเมืองอย่างนายกฯ อภิสิทธิ์ หรือคณะรัฐมนตรีทุกคนที่มีหัวใจของการปฏิรูปนั้น จะต้องไปๆ มาๆ บนถนนแห่งอำนาจรัฐ ตามบทบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญ และมีห้วงเวลาที่จำกัดตามสถานการณ์ต่างๆ ครับ แต่ข้าราชการประจำ หรือข้าราษฎรในกระทรวงต่างๆ ที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนนั้น อายุงานเขามีกำหนดถึง 60 ปีครับ อย่างน้อยคนที่อยู่ในอาชีพข้าราชการ (หากไม่เบื่อเสียก่อน) ก็จะเวียนว่ายอยุ่ในหน้าที่ความรับผิดชอบติดต่อกันไม่น้อยกว่า 10 ปีอย่างต่ำ ความต่อเนื่องในการทำงานย่อมมีมากกว่านักการเมือง

 

          การทำให้ข้าราชการทุกคน ทุกระดับ ทุกฝ่าย ได้ตระหนักถึงอำนาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ตลอดจนบทบาทต่อการปฏิรูปประเทศไทย จึงเป็นการเดินทางที่ถูกทิศและตอบสนองต่อแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดย นายใฝ่ฝัน…ปฏิรูป

 

 

 

Update : 18-11-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร

Shares:
QR Code :
QR Code