ข้อควรระวังการใช้น้ำมันหอมระเหย
ที่มา : มูลนิธิหมอชาวบ้าน
แฟ้มภาพ
อะโรมาเทียราปี (Aromatherapy) เป็นการแพทย์ทางเลือกของการดูแลรักษาตัวเอง โดยการนำน้ำมันหอมระเหยที่แยกได้จากพืชมาใช้บำบัดรักษาโรค สำหรับการสกัดน้ำมันหอมระเหย เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ สุขภาพความงามนั้น ถือเป็นของขวัญจากธรรมชาติที่ได้พบหลักฐานมานมนานแล้ว ตั้งแต่ยุคสมัยของชาวอียิปต์โบราณ ชาวจีนโบราณ เรื่อยมาจนถึงชาวอาหรับในปลายศตวรรษที่ 10
- หลักการใช้น้ำมันหอมระเหย
น้ำมันหอมระเหยใช้หลักจากพืช ถ่ายเทพลังงานให้แก่ร่างกาย ซึ่งกลิ่นหอมนั้นจะช่วยปรับสมดุลของร่างกายและจิตใจ ในทางการแพทย์ คาดว่า มีปฏิกิริยาสัมพันธ์ (interaction) ระหว่างร่างกายและจิตใจ และถ่ายทอดสู่สมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ (limbic system) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทส่วนกลาง
- วิธีการใช้น้ำมันหอมระเหย
ให้นำน้ำมันหอมระเหยมาเจือจางด้วยน้ำมันพืชหรือน้ำผึ้ง (10 หยด ต่อน้ำมันพืช 30 มิลลิลิตร) ใช้ทาภายนอกเป็นน้ำมันสำหรับนวดตัว (massage oil) สูดดม ประคบ อบห้องทำให้บรรยากาศสดชื่น หรือผสมน้ำอาบ
ข้อควรระวัง
- ห้ามใช้กับหญิงมีครรภ์ เด็ก ผู้ป่วยความดันเลือดสูง ผู้ป่วยโรคลมชัก และก่อนอาบแดด
- การอบห้องด้วยน้ำมันหอมระเหย กลิ่นจะอยู่นาน ๒-๓ ชั่วโมง หากเปลี่ยนกลิ่นบ่อยๆโดยไม่พัก จะทำให้ผู้นั่งอยู่ในห้องปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน
- ควรใช้น้ำมันหอมระเหย ๓ หยด/วัน ห้ามใช้เกิน ๓ ครั้ง/วัน
- การผสมน้ำมันหอมระเหยในอ่างอาบน้ำ ให้ใช้ ๖-๘ หยด
- หากใช้น้ำมันหอมระเหยโดยไม่เจือจาง และได้รับน้ำมันหอมระเหยทางปากจะมีผลโดยตรง ต่อระบบย่อยอาหาร น้ำมันหอมระเหยจะถูกดูดซึมในกระเพาะอาหาร ทำให้อวัยวะระคายเคือง กระตุ้นน้ำย่อย การหายใจ การไหลเวียนเลือด และการย่อยอาหาร เป็นการออกฤทธิ์แบบเดียวกับเครื่องเทศ
- เนื่องจากประสิทธิภาพของอะโรมาเทียราปียังพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หากบำบัดด้วยวิธีนี้ในระยะแรกแล้วไม่ดีขึ้น หรือสงสัยว่าจะเป็นโรครุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย