ขจัดสื่อร้าย ขยายสื่อดี

หลังเด็กเสพสื่อเพิ่ม เตรียมร่าง พ.ร.บ กองทุนพัฒนาสื่อ”

ขจัดสื่อร้าย ขยายสื่อดี

 

“เด็กก็เหมือนผ้าขาว แต่งแต้มสีใดลงไป ก็ย่อมเป็นสีนั้น”

           เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลายคนคงยากที่จะปฏิเสธว่าเด็กและเยาวชนในวันนี้จะดีหรือเลวได้ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมรอบตัว จะแต่งแต้มหรือเติมสีอะไรลงไปจึงจำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะหากผ้าขาวผืนนั้นมีตำหนิ ก็ยากที่จะทำให้กลับมาขาวเหมือนดั่งเดิมได้ ยิ่งในปัจจุบันเด็กๆ กำลังถูกรุมเร้าด้วยสิ่งที่ดีและไม่ดีมากมาย โดยหนึ่งในนั้นคือสิ่งที่มีอิทธิมากที่สุดอย่าง “สื่อ”

           เห็นได้จากผลสำรวจของโครงการ Child Media Watch ระบุว่า ปัจจุบันเด็กและเยาวชนบริโภคสื่อมากถึงวันละ 12.9 ชั่วโมง โดยเป็นสื่อโทรทัศน์สูงที่สุดถึง 5.7 ชั่วโมงต่อวัน รองลงมาเป็นสื่ออินเตอร์เน็ท 3.1 ชั่วโมงต่อวัน

 

           แต่เนื่องจากรายการในสื่อแต่ละประเภท มีเนื้อหาสาระแบบผสมผสาน ทั้งเหมาะสมและไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน หากเด็กบริโภคเข้าไปโดยไม่มีคำแนะนำใดๆ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความรุนแรง ก้าวร้าว การลอกเลียนแบบพฤติกรรมที่ผิดๆ ปัญหาเรื่องเพศ พฤติกรรมด้านวัตถุนิยม การสูบ ดื่ม เสพ การใช้เวลาว่างไม่เกิดประโยชน์ ทำให้การเรียนตกต่ำได้

            “การจัดเรตติ้งรายการโทรทัศน์” จึงเกิดขึ้นเพื่อลดปัญหาดังกล่าว โดยแบ่งเป็นรายการที่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน ถึง 3 ประเภท ได้แก่ รายการประเภทเป็นรายการทั่วไปเหมาะสำหรับผู้ชมทุกวัย รายการประเภท3+ เป็นรายการที่ผลิตขึ้นสำหรับเด็กในวัย 3-5 ปี และรายการประเภท6+ เป็นที่ผลิตขึ้นสำหรับเด็กในวัย 6 – 12 ปี ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี

            แต่จากการติดตามการนำเสนอของรายการต่างๆ ของเครือข่ายครอบครัวอาสาเฝ้าระวังสื่อภายหลังที่มีการจัดเรตติ้งรายการ กลับพบว่า รายการประเภท และ ที่ออกอาการในช่วงเวลา 16.00 – 22.00 น. หรือ ไพร์มไทม์กลับมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำกว่าระเบียบที่กรมประชาสัมพันธ์ได้กำหนดไว้ว่าต้องมีถึงร้อยละ 25 ส่วนสื่อวิทยุคงไม่ต้องพูดถึง เพราะมีรายการที่เหมาะกับเด็กไม่ถึงร้อยละ 1 ของจำนวนเวลาและสถานทั่วประเทศ

             แต่เมื่อธุรกิจเกือบทุกชนิดจะอยู่รอดหรือไม่นั้น มันขึ้นอยู่กับผลกำไรทางการตลาดเป็นสำคัญ ธุรกิจของสื่อก็เช่นกัน หากจะทำรายการเพื่อเด็กให้มีคุณภาพนั้น จำเป็นต้องใช้ต้นทุนการผลิตที่สูงมาก อีกทั้งรายการเด็กมักจะถูกจัดให้ออกอากาศในช่วงเวลาที่ไม่ได้รับความนิยม จึงส่งผลให้มีผู้สนับสนุนรายการน้อย และที่สำคัญไปกว่านั้น…ผู้ผลิตสื่อเด็กที่มีคุณภาพ และมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการเรียนรู้และพัฒนาการ รวมไปถึงสาระทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริง ยังคงมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้เกิดข้อจำกัดเรื่องคุณภาพเนื้อหา ทำให้รายการเพื่อเด็กในผังรายการฟรีทีวีแต่ละสถานียังคงมีจำนวนน้อยกว่ามาตรฐานที่ตั้งไว้

              หากยังคงปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้ดำเนินต่อไป อาจส่งผลให้เหล่าอนาคตของชาติ ตกอยู่ในภาวะขับขันและตกเป็นทาสทางสังคมได้โดยไม่ตั้งใจเหตุนี้จึงทำให้หน่วยงานต่างๆ รวมไปถึงพลังเด็กและเยาวชนต่างออกมาเรียกร้องขอพื้นที่สื่อดีให้กับพวกเขาบ้าง

 

               โดยล่าสุด!! เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนของไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีโอกาสได้รับเนื้อหาสาระจากสื่อดีๆ เพิ่มมากขึ้น คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและพัฒนาสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพในการผลิตสื่อ อีกทั้งยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และกระจายสื่อให้ทั่วถึงในทุกระดับ

                นี่ถือเป็นก้าวที่สำคัญยิ่งที่อนาคตของชาติจะได้มีรายการที่ดี สร้างสรรค์ เหมาะสมกับวัยและเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้อย่างแท้จริงเสียที

 

 

 

 

 

ที่มา: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

Update:29-03-53

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code