“ก๊าซชีวภาพ” จาก “ขี้หมู” สู่ครัวเรือน

การจัดการพลังงานทดแทนเพื่อความยั่งยืนของชุมชน

 

          กว่า 10 ปีที่ชุมชนบ้านสบสาหนองฟาน ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มีชื่อเสียงเรื่องการผลิต ก๊าซชีวภาพ จาก ขี้หมู เพื่อนำไปใช้ทดแทนก๊าซหุงต้มในครัวเรือนทั้งชุมชน จนเป็นที่รู้จักในระดับประเทศ

“ก๊าซชีวภาพ” จาก “ขี้หมู” สู่ครัวเรือน

 

          แต่เพราะขาดการดูแลเอาใจใส่ ชุมชนขาดความเข้าใจในการบำรุงรักษา รวมถึงที่มาที่ไปของระบบก๊าซ ทำให้บ่อหมักก๊าซชีวภาพที่ใช้งานมานานเริ่มเสื่อมสภาพ ปริมาณก๊าซลดน้อยลง ชาวบ้านเริ่มเดือดร้อนและไม่สามารถคาดหวังกับก๊าซขี้หมูเนื่องจากไม่มีความสม่ำเสมอ ทำให้บางส่วนขาดความมั่นใจและเลิกใช้พลังงานทดแทนของชุมชนไปอย่างน่าเสียดาย

 

          คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จึงเข้ามาร่วมแสวงหาทางออกของปัญหาเพื่อช่วยให้ชุมชนมีสามารถจัดการกับพลังงานทดแทนได้อย่างเป็นระบบและมียั่งยืน จึงเป็นที่มาของงานวิจัย การใช้ประโยชน์ของเสียจากฟาร์มสุกร โดยการแปรสภาพเป็นพลังงานทดแทนในชุมชน โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

          ก๊าซชีวภาพ หรือ ก๊าซขี้หมู ของบ้านสบสาหนองฟานเกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างเจ้าของฟาร์มกับชาวบ้านเมื่อเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหามลพิษและกลิ่นเหม็นที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงหมู จึงทำให้พ่อหลวงซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์ม ร่วมกับหน่วยงานราชการสร้างระบบบ่อหมักก๊าซชีวภาพขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเรื่องมลพิษและแมลงวัน แล้วก็ต่อท่อก๊าซไปให้ชาวบ้านได้ใช้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้ชาวบ้านสามารถประหยัดค่าก๊าซหุงต้มไปได้ไม่น้อยกว่าครัวเรือนละ 50-100 บาทต่อเดือน

 

“ก๊าซชีวภาพ” จาก “ขี้หมู” สู่ครัวเรือน

หลังจากนั้นชาวบ้านต่างคนก็ต่างใช้โดยปล่อยบ่อหมักก๊าซทำงานไปตามธรรมชาติโดยขาดการดูแลรักษา เวลาผ่านไปปริมาณก๊าซเริ่มน้อยลงจนไม่เพียงพอต่อการใช้งาน จนชาวบ้านขาดความเชื่อมั่นในระบบพลังงานทดแทน ส่งผลให้ชาวบ้านหลายคนเริ่มคิดว่าการใช้พลังงานทดแทนที่จะมาแทนก๊าซหุงต้มไม่น่าจะเป็นไปได้จริงอย่างยั่งยืน ทำให้สมาชิกที่ใช้ก๊าซในหมู่บ้านเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ จากเดิมที่ใช้กันทั้งหมูบ้านไม่น้อยกว่า 100 หลังคาเรือนก็ลดลงเหลือไม่ถึง 60 หลังเรือน

 

นายสุรศักดิ์ นุ่มมีศรี อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการจัดการพลังงานทดแทนของชุมชน ขนาดง่ายๆ อย่างนี้ยังไม่สามารถที่จะรักษากันในชุมชนได้ ทางคณะผู้วิจัยจึงเข้ามาช่วยหาทางออกให้ชุมชน โดยจัดเวทีให้ชาวบ้านได้พูดคุยกัน เพราะจะต้องมีการเก็บเงินเพื่อซ่อมแซมปรับปรุงระบบเนื่องจากชาวบ้านได้ใช้ก๊าซฟรีมาตลอด 10 ปี จนเกิดเป็นข้อตกลงร่วมกันของชุมชนในการดูแลรักษาบ่อหมักก๊าซซึ่งเป็นแหล่งพลังงานทดแทนของชุมน

 

          ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไปพลังงานก็จะถูกทิ้งร้าง ไม่ได้รับการนำไปใช้ประโยชน์ ชาวบ้านก็จะไม่ได้มีพลังงานทางเลือกอื่น จึงได้จัดเวทีพบปะพูดคุยเพื่อแสวงหาทางออกร่วมกันขึ้นมาเพื่อให้ชาวบ้านได้มองเห็นว่าแต่ก่อนนี้เป็นอย่างไร ปัจจุบันระบบก๊าซเขาเป็นอย่างไร เสื่อมโทรมมากน้อยแค่ไหน โดยให้พ่อหลวงเป็นคนเล่าให้ฟัง แล้วก็ถามถึงอนาคตของชาวบ้านว่าอยากจะมีทางออกอย่างไรโดยให้ทุกคนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ชาวบ้านก็บอกว่าอยากจะมีพลังงานที่ดีขึ้น มีพลังงานที่เพียงพอ จึงได้เชิญนักวิชาการมาพูดคุยให้ฟังว่า ถ้าจะทำให้พลังงานเพียงพอก็จะต้องมีการล้างบ่อ มีการเปลี่ยนระบบท่อใหม่ ชาวบ้านก็หาทางออกร่วมกันอีกครั้งเพื่อรักษาระบบพลังงานทดแทนนี้ โดยเต็มใจที่จะจ่ายครัวเรือนละ 10 บาทต่อเดือน สำหรับเป็นค่าดูแลรักษาระบบการผลิตและระบบท่อส่งก๊าซทั้งหมด อาจารย์สุรศักดิ์ระบุ

 

พ่อหลวงสุทัศน์ คำมาลัย ผู้ใหญ่บ้านบ้านสบสาหนองฟาน และเจ้าของฟาร์มหมู่ซึ่งเป็นผู้ผลิตก๊าซชีวภาพให้กับชุมชน เล่าว่าปัจจุบันมีชาวบ้านที่ใช้ก๊าซจากขี้หมูจำนวน 87 ครัวเรือน โดยมีกติกาของชุมชนคือเก็บบ้านละ 10 บาท ส่วนบ้านที่ค้าขายอาหารทำร้านก๋วยเตี๋ยวก็เต็มใจที่จะจ่ายเพิ่มเป็นเดือนละ 30 บาท โดยเงินที่รวบรวมได้จะนำไปฝากธนาคาร เพื่อเอาไว้บำรุงรักษากรณีท่อแตก ล้างบ่อ และซ่อมระบบ

 

ชาวบ้านตกลงกันว่าว่าจะล้างทุกๆ 6 เดือน เพราะที่ผ่านมาเกือบ 10 ปีเราไม่เคยได้ล้างบ่อเลย เพราะไม่เคยรู้ว่าจะต้องล้าง ทำให้ปีหลังๆ มีก๊าซน้อยมาก เพราะว่าข้างในบ่อหมักก๊าซเต็มไปด้วยขยะ และเศษดินเข้าไปปะปนจนแน่นบ่อ จนต้องใช้เวลาล้างกันเป็นอาทิตย์ หลังจากนั้นจึงมีก๊าซขึ้นมาสม่ำเสมอ แต่จะมีปัญหาบ้างก็ตอนฝนตกหนัก เพราะมีน้ำเข้าไปในบ่อเยอะเกินไปทำให้ก๊าซน้อยลง และบางครั้งในหน้าหนาวก็อาจจะมีก๊าซน้อยเพราะอากาศเย็นอุณหภูมิไม่เหมาะสม แต่ก็ก๊าซที่ได้ก็เพียงพอต่อการใช้งานทุกครัวเรือน เพราะชาวบ้านใช้แค่หุงต้มไม่ได้ทำอะไรมาก แต่ทุกบ้านก็จะมีถังก๊าซหุงต้มสำรองไว้ พ่อหลวงสุทัศน์กล่าว

 

นางบัวเงิน ปัญญา เจ้าของร้านอาหารตามสั่งในหมู่บ้านสบสาหนองฟาน บอกว่าก๊าซขี้หมูตอนนี้มีให้ใช้ได้ทั้งวันและไม่มีกลิ่นขี้หมู โดยแตกต่างจากก๊าซหุงต้มก็ตรงเรื่องของความร้อนที่จะร้อนช้ากว่าเท่านั้น แต่ก็สามารถประกอบอาหารทุกอย่างได้ตามปกติ

 

ชาวบ้านที่มาทานอาหารไม่มีใครรังเกียจที่ใช้ก๊าซขี้หมูประกอบอาหาร แต่ปัญหาก็มีบ้างวันไหนที่ฝนตกหนักก๊าซก็อาจจะหายไปบ้าง ก็จะแก้ปัญหาด้วยการใช้ก๊าซหุงต้มจากถังแทนไปก่อน ซึ่งช่วยประหยัดเงินค่าก๊าซหุงต้มไปได้หลายร้อยบาทต่อเดือน นางบัวเงินเล่าถึงข้อดีของก๊าซขี้หมูของชุมชน

 

          นางงามจิตต์ จันทรสาธิต ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนโครงการเปิดรับทั่วไป สสส. เปิดเผยว่าทางสำนักเปิดรับทั่วไปมุ่งเน้นในเรื่องของการดำรงชีวิตหรือประกอบอาชีพโดยใช้พื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียงมาแล้ว 3 ปี ถ้าชุมชนนำพลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือกมาใช้ก็จะสามารถพึ่งตนเองได้โดยเฉพาะชุมชนที่ห่างไกล ทาง สสส. จึงเข้าไปสนับสนุนเพราะนอกจากจะส่งผลดีกับสิ่งแวดล้อม ชุมชนก็ยังเรียกได้ว่ามีทางเลือกอื่นๆ ทำให้เกิดการพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน

 

          เรื่องของพลังงานทดแทนอาจจะดูห่างไกลจากเรื่องของสุขภาพ แต่จริงๆ แล้วการสนับสนุนด้านพลังงานทางเลือกหรือทดแทน เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะดึงนักวิชาการที่ทำงานเรื่องพลังงานทดแทนต่างๆ ให้หันกลับมาทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อให้ชุมชนสามารถนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ได้ด้วยตนเองจริงๆ เพราะที่มาผ่านมาก็จะพบว่ายังไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างจริงจัง โดยแนวทางการสนับสนุนของ สสส.ในปีหน้าหรือปี 2553 จะเป็นการต่อยอดจากของปีเดิม ซึ่งที่ผ่านมาก็พบว่ามีความสำเร็จเกิดขึ้นเป็นตัวอย่างได้หลายโครงการ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนโครงการเปิดรับทั่วไป สสส. กล่าวสรุป

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา : สำนักข่าว สสส. 

 

 

 

update 14-10-52

 

 

อัพเดทเนื้อหาโดย : ฤทัยรัตน์ ไกรรอด

 

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code