กี่จึร้อยใจสานสายใยคนปกาเกอะญอ ลด ละ เหล้า
“โอ้โห!!! ทางขนาดนี้เลยหรือ?” “เดินทางมาเกือบ 3 ชม.แล้วนะ” “เมื่อไหร่จะถึง” คำพูดเหล่านี้ต่างพุดขึ้นมาพร้อมๆๆกันแบบไม่ได้นัดหมาย จากปากใครหลายๆๆคน ที่นั่งอยู่บนรถของเจ้าหน้าที่
“ถึงตรงนี้เพิ่งได้ครึ่งทางเอง” เสียงของผู้รับผิดชอบอาศรมบ้านห้วยโป่ง
“บ้านห้วยโป่ง” เป็นหนึ่งในหมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ ชนเผ่าปกาเกอะญอ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวินในเขตอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และยังเป็นเขตรอยต่อชายแดนไทยกับพม่า โดยเส้นทางที่จะเข้าไปยังหมู่บ้านนั้นลำบากอย่างมาก ไม่มีรถโดยสาร มีเพียงรถบรรทุกสิบล้อหรือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้ ระยะทางจากตัวอำเภอถึงหมู่บ้านก็ประมาณ 60 กม. แต่ต้องใช้เวลาเดินทางถึง 5 ชั่วโมง เนื่องจากถนนหนทางที่จะเข้าไปนั้นต้องผ่านท่าน้ำถึง 50 กว่าท่า แถมสลับกับโขดหินน้อยใหญ่ รถธรรมดาอย่างหวังที่จะเข้าไป ถือเป็นการเดินทางที่เรียกได้ว่าทรหดอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าระยะทางที่จะเข้าไปในหมู่บ้านนั้น จะโหดร้ายหรือยากลำบากเพียงใด แต่ไอ้เจ้า “น้ำ” ที่ทำให้คนเราเปลี่ยนไปเป็นอีกคนเวลาดื่ม อย่างแอลกอฮอล์ หรือ เหล้าเบียร์ ก็ยังสามารถเข้าไปถึงได้อย่างไม่อยากลำบาก
โดยแฝงและซึมซับไปงานประเพณีต่างๆๆที่ทางหมู่บ้านจัดขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นคนเมืองหรือคนชนบทห่างไกลก็ย่อมมีงานประเพณีท้องถิ่นด้วยกันทั้งนั้น
“หมู่บ้านอื่นจัดงานประเพณีเราไปร่วม เขาก็เลี้ยงเหล้าเลี้ยงเบียร์เรา เมื่อหมู่บ้านเราจัดงานเราก็จะต้องเลี้ยงเหล้าเลี้ยงเบียร์เขา ถ้าเราไม่เลี้ยงเขา เขชาจะมองว่าหมู่บ้านเราจน” นายราตรี ชาวบ้านห้วยโป่งกล่าว
เมื่อมีเหล้าเบียร์เข้ามาเกี่ยว ย่อมก่อให้เกิดการาทะเลาะวิวาทกันของคนในชุมชน
จากพฤติกรรมดังกล่าว ท่านวสิโรจน์ ซึ่งเป็นพระบัณฑิตอาสาพัฒนาชาวเขา (มจร.วข.ชม.) ร่วมกับโครงการสื่อสารเพื่อการพัฒนาพระบัณฑิตอาสาพัฒนาชาวเขา (สพช.) โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในพื้นที่บ้านห้วยโป่งได้ร่วมกับชาวบ้านทดลองรื้อฟื้น ประเพณีกี่จึ (พิธีการมัดมือ) เพื่อนำคุณค่าของประเพณีไปปรับใช้เพื่อให้ชาวบ้านร่วมกัน ลด ละ เหล้า
ประเพณีกี่จึ เป็นประเพณีของชาวปกาเกอะญอที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและขอขมาลาโทษต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผู้มีพระคุณ เรียกขวัญและให้กำลังใจแก่คนในครอบครัวและในชุมชน เพิ่มความสามัคคีปรองดองกัน การเริ่มต้นในชีวิตใหม่ (การขึ้นปีใหม่)
ช่วงเวลาที่ทำพิธีกรรมผูกข้อมือ จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือช่วงที่ 1 ประมาณเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงการขึ้นปีใหม่ของปกาเกอะญอพอที ช่วงที่ 2 ประมาณเดือนสิงหาคมถึงกันยายน จะเป็นพิธีเรียกขวัญข้าว (บกอ – ฆึ) และ (บกา – ชิ) เพื่อขอขมาลาโทษเจ้าที่เจ้าทางในพื้นทำกินและเพื่อเป็นการเลี้ยงผีน้ำ (ลื่อที) และผู้มีพระคุณ
“การได้รับศีล รับพรจากผู้หลักผู้ใหญ่ในพิธีกี่จึ ถือเป็นมงคลแก่ชีวิต แต่หลังจากเสร็จพิธีก็กินเหล้า บางคนทะเลาะวิวาทกัน บางคนมานอนข้างทาง ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ดีไหม การกินเหล้ามากนี่เป็นบาป ไม่มีความสุข ทุกข์ใช่ไหม ให้ชาวบ้านเลือกเองว่าอยากได้บุญ ได้ความสุข หรืออยากได้บาป ไม่มีความสุข ทุกข์” ท่านวสิโรจน์ตั้งคำถามกับชาวบ้าน
ในส่วนของงานประเพณีกี่จึในปีนี้ ชาวบ้านร่วมกันสรุปว่า อยากให้รูปแบบของประเพณียังคงเดิม แต่เพิ่มการให้ความรู้ของประเพณีกี่จึ แก่ลูกหลานผู้ที่มาร่วม เพื่อเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีที่ถูกต้องและไม่จางหายไป
ส่วนในเรื่องของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีกรรมก็ต้องการให้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ต้องเปลี่ยนคือจากเดิมเคยใช้เหล้า ให้เปลี่ยนเป็นน้ำชาแทน แต่ยังคงให้คุณค่าความหมายเหมือนเดิม
นอกจากนี้ ขอให้พระเข้าร่วมพิธีกี่จึทุกหลังคาเรือน เพื่อเป็นศิริมงคลแก่สมาชิกในครอบครัว หลังเสร็จพิธีกี่จึแล้ว ทุกคนในหมู่บ้านจะต้องไปร่วมกันบวชป่าและกินข้าวพร้อมกัน โดยจะไม่มีการดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาด
“แต่ก่อนในหมู่บ้านไม่มีวัดและไม่มีพระ ชาวบ้านทำประเพณีต่าง ๆ ตามความเชื่อแบบดั้งเดิมที่สืบต่อกันมา พิธีกรรมต่าง ๆ จะมีเหล้าเป็นส่วนประกอบ ถ้าขาดเหล้าพิธีกรรมนั้นจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อเสร็จพิธี ชาวบ้านจะดื่มเหล้าฉลองกันเพื่อความสนุกสนาน แต่เมื่อหมู่บ้านมีอาศรมและมีพระมาประจำ พระสอนให้รู้จักบาป และบุญ ดังนั้นถ้าเอาเหล้าเข้ามาในพิธีกรรมเป็นการผิดศีลข้อ 5 พิธีกรรมนั้นจะเป็นบาปมากกว่าที่จะได้บุญ” พ่อเฒ่าแหละกล่าว
ประเพณีและสื่อพื้นบ้านเป็นวัฒนธรรมและเป็นเอกลักษณ์ของคนในชุมชนแต่ละพื้นที่ เมื่อกาลเวลาผ่านไป วิถีชีวิต สังคม เปลี่ยนไปตามเวลา ถ้าชุมชนไม่สามารถที่จะพัฒนา ปรับประยุกต์ประเพณี ให้เข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ประเพณีและสื่อพื้นบ้านนั้นก็จะค่อย ๆ จางหายไปในที่สุด ดังที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปในขณะนี้
เรียบเรียงโดย : ณัฐภัทร ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th
ที่มา : จดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพ ฉบับสร้างสุข
Update : 09-09-51