“กินเจ” อิ่มบุญอิ่มใจ “แบบไร้พุง”
รู้สึกว่าช่วงนี้…ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นธงสามเหลี่ยมสีเหลืองปักอยู่ข้างร้านอาหารต่าง ๆ เต็มทั่วเมืองไปหมด ซึ่งนี่ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกได้ว่า… เทศกาลกินเจ ได้เวียนมาถึงแล้ว โดยในปีนี้ตรงกับวันที่ 18-26 ต.ค.นั่นเอง สำหรับหลายคนที่ตั้งใจไว้ว่าจะถือศีลกินเจ ต้องการอิ่มบุญกันแบบเต็มที่ โดยการละเว้นการเบียดเบียนผู้อื่นด้วยการไม่กินเลือดไม่กินเนื้อสัตว์แล้วละก็ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่หากเมื่อไรที่รับประทานกันแบบเพลิดเพลินไม่ระวังแล้วล่ะก็!!! อาจเกิดภัยร้ายต่อร่างกายคุณเองเป็นแน่….
เพราะอย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ว่า อาหารเจ เป็นอาหารที่ปรุงโดยไม่มีส่วนประกอบที่ทำมาจากสัตว์ทุกประเภท ฉะนั้นอาหารที่รับประทานได้ในช่วงนี้ ก็เห็นจะหนักไปทางแป้งและน้ำตาล ที่สำคัญอาหารเจ จะงดเว้นการปรุงด้วยผักฉุน 5 ประเภท นั่นคือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ เพราะผักเหล่านี้ เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ อีกทั้งยังมีพิษทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญ ภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ ซึ่งเป็นความเชื่อมาแต่โบราณ
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ผู้บริโภคอาหารเจได้รับแป้งและน้ำตาลมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดภาวะโรคอ้วนได้โดยไม่รู้ตัว…อีกทั้งยังทำให้เป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็งได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนพ.ฆนัท ครุฑกูล กรรมการเครือข่ายคนไทยไร้พุง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้บอกเอาไว้ว่า การกินเจให้ได้สารอาหารที่คุ้มค่าเพื่อสุขภาพที่ดีและได้บุญ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องควบคุมอาหารโดยเฉพาะแป้ง น้ำตาลและไขมัน
หลายคนอาจสงสัยว่า…ในเมื่ออาหารเจมีแต่อาหารจำพวกแป้งและไขมันเป็นหลัก คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่รับประทาน แต่เราสามารถเลือกแต่สิ่งที่มีประโยชน์ให้กับร่างกายได้ โดยเลือกกินข้าวหรือแป้งที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย ธัญพืชต่างๆ เป็นต้น ซึ่งร่างกายใช้พลังงานในการย่อยออกมาเป็นแป้งที่พร้อมดูดซึม มีน้ำตาลไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับปริมาณที่เท่ากันของแป้งขัดขาว
ต่อมาควรเลือกบริโภค “ผักใบ” มากกว่าพืชหัว เพราะผักใบมีคาร์โบไฮเดรตที่น้อยกว่าพืชหัวมาก ดังนั้น การกินผักใบจะทำให้เราได้พลังงานและปริมาณแป้งน้อยกว่าจึงไม่ทำให้อ้วน เลือกกินของนึ่ง, ต้ม, ตุ๋นดีกว่าของทอดและผัด เพราะช่วยเลี่ยงการกินน้ำมัน ซึ่งมีไขมันอยู่สูง ในส่วนของอาหารหวานควรกินหวานให้น้อยลง ไม่ใช่ว่าเมื่อคุณกินเจแล้ว จะสามารถกินขนมหวานได้เต็มที่ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารเจหรือไม่เจ ถ้ามีความหวานและผสมน้ำตาลอยู่มากก็อ้วนได้ไม่ต่างกัน
และควรอดอาหาร ล้างพิษหลังกินเจ เพราะจะช่วยให้ร่างกายขับพิษต่างๆ ออกมาได้ ทั้งช่วยลดไขมันในเลือด ลดน้ำหนัก ลดภาวะร้อนในจากธาตุในร่างกายที่ไม่สมดุลได้อีกด้วย
ปัจจุบันมีผู้นิยมกินเจกันมากขึ้น ทั้งกินเพื่อสุขภาพและกินเพื่อถือศีล ไม่ว่าจะอายุเท่าไร วัยใดก็สามารถถือศีลกินเจกันได้ แต่นั่นคุณอาจคิดผิด… เพราะการกินเจจำเป็นต้องเลือกปฏิบัติให้เหมาะสมตามวัย อายุ และสภาพร่างกาย เพราะอาจมีผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้
ซึ่งกลุ่มที่ต้องระมัดระวังในการกินเจเป็นกรณีพิเศษเห็นทีจะเป็น กลุ่มเด็ก คนป่วยและหญิงตั้งครรภ์ ควรกินเจเพียงระยะสั้นๆ ในช่วงถือศีลเจ 9 วันเท่านั้น เนื่องจากร่างกายต้องการสารอาหารที่ครบถ้วนมากกว่าคนปกติทั่วไป หากกินติดต่อกันเป็นเวลานานกว่านั้น อาจเสี่ยงขาดสารอาหารได้ ส่วนการดื่มนมสดหรือนมถั่วเหลืองเพื่อเพิ่มโปรตีนและแคลเซียม รวมทั้งกินผักสดและผลไม้เพื่อเพิ่มวิตามินให้ร่างกายนั้น อาจช่วยให้ปัญหาเรื่องนี้ลดน้อยลงได้ แต่ในกรณีของเด็ก หากต้องกินเจต่อเนื่องเป็นระยะยาวหรือตลอดไป จะต้องดื่มนมและกินไข่ด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นในการเจริญเติบโต
นอกจากอาหารที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น “ผัก” ก็ถือเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่นิยมบริโภคในช่วงเทศกาลกินเจ ทำให้ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการตักตวงผลกำไรของชาวเกษตรกร การเร่งผลผลิตด้วยการฉีดสารเคมีให้ “ผัก” เหล่านี้จึงเป็นเรื่องยอดฮิตที่เกษตรกรบางรายนิยมทำกัน ซึ่งผู้บริโภคอย่างเราๆ ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นเป็นอย่างยิ่งก่อนที่จะรับประทานเข้าไป…
ซึ่งการลดสารพิษตกค้างในผักผลไม้มีหลายวิธี ได้แก่การล้างผักในน้ำไหลนาน 2 นาที จะลดสารพิษได้ ร้อยละ 54-63 ล้างด้วยผงฟูในอัตราผงฟู 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 อ่าง แช่ทิ้งไว้ 15 นาที จะลดสารพิษลงได้ร้อยละ 90-95 หรือแช่ในน้ำสะอาด นาน 15 นาที ช่วยลดสารพิษลงได้ร้อยละ 7-33 นอกจากนี้อาจล้างด้วยน้ำผสมด่างทับทิม ประมาณ 20-13 เกล็ด ต่อน้ำ 4 ลิตร นาน 10 นาที แล้วล้างน้ำตาม จะลดสารพิษลงได้ร้อยละ 50 การล้างด้วยน้ำเกลือเข้มข้นร้อยละ 50 โดยใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 4 ลิตร นาน 2 นาที จะลดสารพิษลงร้อยละ 34 หากล้างด้วยน้ำส้มสายชู โดยใช้น้ำส้มสายชู 1 ขวด ต่อน้ำ 4 ลิตร นาน 15 นาที จะลดสารพิษลงได้ร้อยละ 60-84
สำหรับในบางรายที่ไม่ได้ทำอาหารรับประทานเอง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสังเกตว่า “อาหารเจ” ที่ไปซื้อมารับประทานนั้น สด สะอาด ถูกหลักอนามัย ไร้สารเคมีตกค้างหรือเปล่า ซึ่งวิธีการง่ายๆ ก็เพียงแค่สังเกตสภาพทั่วไปของอาหาร เช่น สีสัน กลิ่น หรือรสของอาหารให้เป็นไปตามปกติ ไม่มีสีดำคล้ำ หรือไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว เน่าเสีย และไม่มีสีที่เข้มจนผิดปกติ
ส่วนลักษณะการจัดเก็บอาหารที่ปรุงสำเร็จระหว่างรอการจำหน่าย จำเป็นต้องเก็บในตู้ หรือภาชนะที่สะอาด มีฝาปิดป้องกันสัตว์นำโรคได้ และต้องสูงจากพื้นอย่างน้อย 60 ซ.ม. ต้องอยู่ห่างจากที่ล้างมือ/ล้างภาชนะอุปกรณ์อย่างน้อย 1 เมตร เพื่อป้องกันการกระเซ็นของน้ำสกปรกมาปนเปื้อน
นอกจากนี้ ในการเลือกซื้ออาหารปรุงสำเร็จนั้น จำเป็นจะต้องมองไปถึงสถานที่ที่ใช้ปรุงอาหารอีกด้วย ต้องได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย เชื่อถือได้และสังเกตว่ามีการนำอาหารปรุงสำเร็จมาอุ่นให้ร้อนเป็นระยะทุก 2 ชั่วโมง และที่ลืมไม่ได้คือ ต้องสังเกตลักษณะการตักอาหารเพื่อจำหน่าย จะต้องเสิร์ฟอย่างถูกสุขลักษณะ มีทัพพี/ที่หยิบจับอาหารแยกเฉพาะในแต่ละประเภทอาหาร
และเมื่อเราซื้อมารับประทานแล้วล่ะก็ ก่อนบริโภคควรนำมาอุ่นให้ร้อนก่อนอีกครั้ง และในกรณีที่จะเก็บไว้นาน ควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อป้องกันการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรค และป้องกันการเน่าเสียของอาหารปรุงสำเร็จ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้รับอาหารที่ถูกหลักอนามัย สด สะอาด เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย..
เทศกาลถือศีลกินเจ ไม่ใช่ว่าแค่ปรับเปลี่ยนวิธีการกินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะหลักการจริงๆของการถือศีลกินเจ มีด้วยกัน 3 ข้อหลักๆ คือ 1.เจที่ปาก ไม่กินเนื้อสัตว์, ไม่พูดเพ้อเจ้อ, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดจายุแหย่ส่อเสียด 2.เจที่กาย ไม่ประพฤติชั่ว, ไม่ฆ่าสัตว์ 3.เจที่ใจ ไม่คิดชั่วร้าย, ไม่คิดไร้สาระและมีสมาธิ
ถ้าทำได้ตามคำแนะนำข้างต้นแล้วล่ะก็!!! รับรองสุขภาพดีทั้งกายและใจ และที่สำคัญอย่าลืมออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย เพราะสุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง…
เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th
Update: 20-10-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่