กินเจอย่างฉลาดอย่ากินตามแฟชั่น แต่ต้องกินตามหลักการ
เทศกาลกินเจเริ่มแล้วในประเทศไทย โดยมีเวลาต่อเนื่องกันตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม เรื่อยไปสิ้นสุดลงในวันที่ 23 ตุลาคม แม้จะเป็นเวลาเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่นั่นมันคือ นิมิตหมายที่ดี ที่ทำให้เราได้ทำดีกับตัวเราเอง โดยการ นำสิ่งดีๆ เข้ามาสู่ชีวิต
การกินเจ คือ การถือศีล ตั้งใจทำความดีโดยการไม่กินเนื้อสัตว์ ละเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ประพฤติตัว ผิดต่อศีลธรรม ไม่ทำความเดือดร้อนต่อผู้อื่น
อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ และผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกกินอาหารเจ การเตรียมตัวให้พร้อมกับการกินเจ การกินเจให้สมวัย ข้อควรระวังและความปลอดภัยในการกินอาหารเจ เอาไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว โดยท่าน กล่าวว่า
“การกินเจนอกจากจะได้บุญแล้ว ยังได้สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงด้วย เพราะการกินเจคือการกินผัก ผลไม้ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ แทนเนื้อสัตว์ ผักช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค มีวิตามิน แร่ธาตุและสารต่อต้านอนุมูลอิสระ อย่างไฟโตรนิวเทรียนส์ ที่มีในผักและผลไม้ ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็ง ซึ่งการที่เรากินผักเป็นประจำ แพทย์ทางด้านโภชนาการยืนยันว่า มันทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยน้อยกว่าคนที่ไม่กินผัก
เพื่อเป็นการยืนยันถึงประโยชน์ในการกินเจ ที่มีต่อ สุขภาพร่างกาย ลองมาฟังอาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ท่านตอกย้ำ ให้ทราบอีกว่า การกินเจทำให้ได้รับโปรตีนจากพืช ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับโปรตีนจากสัตว์ เพราะโปรตีนจากพืชมีกรดอะมิโนใกล้เคียงกับสัตว์ อย่างกรด อะมิโน เมทไทโอนิน (methionine) กับไลซีน (lysine) ซึ่งกรดอะมิโนชนิดนี้มีอยู่ในข้าวกล้อง ถ้ากินควบคู่กับอาหารเจทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน ที่สำคัญโปรตีนจากพืชไม่มีคอเลสเตอรอล เหมือนกับเนื้อสัตว์ แต่มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการยังบอกอีกว่า ที่สำคัญคือ อย่ากินเจตามแฟชั่น ต้องกินเจอย่างมีความรู้ เพื่อสุขภาพดี โดยแนะนำว่า ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภท ผัด ทอด ซึ่งใช้น้ำมันเยอะ ควรกินอาหารประเภท ต้ม นึ่ง หรือ อบ ส่วนอาหารเจที่ผ่านการต้มซ้ำแล้วซ้ำอีก น้ำต้มจะระเหยเหลือเพียงความเค็มเท่านั้น การกินเค็มทำให้ความดันสูง อาจจะหันมากินอาหารไทยพวกน้ำพริกเจ กินคู่กับผักสด ผักพื้นบ้าน นอกจากจะมีประโยชน์แล้วยังไม่มีสารพิษเจือปน หรือกินข้าวกล้องเพราะมีคุณค่าทางโภชนาการ สูงมาก อีกสิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การกินอาหารเจแบบเดิมๆ ซ้ำกันจนเกินไป ทำให้ขาดสารอาหารได้ อย่างเช่น กินแต่ผักมากเกินไปก็ทำให้ท้องอืดได้ กินอาหารที่เป็นแป้งเยอะ อย่างพวกอาหารเจที่ดัดแปลงให้คล้ายกับเนื้อหมู เนื้อไก่ ในปัจจุบันมักจะทำจากแป้งมากกว่าจากถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ต่างๆ จึงควรกินให้หลากหลายเพื่อสร้างความสมดุลและคุณค่าทางโภชนาการให้กับร่างกาย
นอกจากนี้ อาจารย์สง่ายังแนะนำการเตรียมตัวให้พร้อมในการกินเจอีกด้วยว่า การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่เทศกาลกินเจ คือ การเตรียมระบบต่างๆ ภายในร่างกาย ให้คุ้นชินกับอาหารเจ ควรเตรียมตัวอย่างน้อย 2 วันล่วงหน้า เริ่มจากวันแรก ควรกินเนื้อสัตว์ใหญ่ให้น้อยลง หันมากินปลา นมและไข่แทน วันต่อมาก็เริ่มกินผัก ผลไม้ให้มากขึ้น และไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ เมื่อร่างกายปรับตัวได้วันต่อมาก็สามารถกินเจได้อย่างสบาย
คนส่วนใหญ่ทั่วไปอาจมองว่าเจสามารถกินได้ ทุกเพศทุกวัย แต่ในความเหมาะสม และมีคุณค่าแล้ว การกินเจควรเลือกสรรให้เหมาะสมกับวัยด้วย
ซึ่งการกินเจอย่างไรให้เหมาะสมกับวัยนั้น อาจารย์สง่า แนะนำว่า การกินเจให้สมวัย เด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นวัย ที่ไม่เหมาะสมต่อการกินเจ เพราะโอกาสที่เด็กจะขาดสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมีมาก เนื่องจากเด็กวัยนี้เป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโต สมองและร่างกายต้องได้รับสาร อาหารอย่างเพียงพอ เด็กๆ ไม่สามารถปรับตัวได้เหมือนกับ ผู้ใหญ่ หรืออาจให้กินได้แต่ต้องไม่เคร่งครัด ต้องให้กินนมและไข่ด้วย สำหรับเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไปจนถึงวัยเรียน สามารถกินได้แต่ต้องไม่เคร่งครัด และต้องมั่นใจว่าเด็กได้ รับโปรตีนอย่างเพียงพอ กินนมและไข่ได้ ส่วนเด็กอายุ 14 ปี ขึ้นไปจนถึงผู้ใหญ่และผู้สูงอายุสามารถกินได้ตามปกติ แต่สำหรับผู้สูงอายุควรเน้นอาหารเจที่ย่อยง่าย
เทศกาลกินเจในปีนี้ “ปานมณี” มีความรู้สึกลึกๆ ว่า การเริ่มเทศกาลกินเจที่กำลังเริ่มขึ้นน่าจะเป็นการสร้างมิติใหม่ของการกินเจ เพื่อปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่ หันมากินเจอย่างฉลาด มีสติ และเกิดจากความศรัทธา และความตั้งใจอย่างแท้จริง มิใช่เพียงทำตามกระแสเท่านั้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดย ปานมณี