กินสมุนไพร ไคร้เครือ ระวังเจอสารก่อมะเร็ง
องค์การอนามัยโลกเผย ไคร้เครือเป็นสมุนไพร มีสารก่อมะเร็งในมนุษย์และทำให้ไตวายได้ ด้านคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ(nlem) ประกาศตัดสมุนไพรไคร้เครือออกจากตำรับยาแผนไทยในบัญชียาหลักแห่งชาติ
นพ.นิพนธ์ โพธิพัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ไคร้เครือเป็นเครื่องยาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ใช้กันมากในตำรับยาไทย โดยเฉพาะตำรับยาแก้ไข้ แก้อักเสบ และคลายกล้ามเนื้อ อย่างไรก็ตาม สมุนไพรไทยหลายชนิดมีชื่อเหมือนกันและอาจมีการนำสมุนไพรชนิดอื่นมาใช้ทดแทนสมุนไพรจริงที่หายาก และอาจอันตรายต่อสุขภาพ เช่น สมุนไพรไคร้เครือโดยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า aristolochia sp. มีความเป็นพิษต่อตับ ไต และต่อมหมวกไต เนื่องจากมีรายงานการศึกษาทางพิษวิทยา พบว่าสาร aristolochic acid จากสมุนไพรไคร้เครือ มีผลต่อหนูที่ตั้งท้อง ทำให้มดลูกผิดปกติ และทำให้แท้ง นอกจากนี้ จากการศึกษางานวิจัยทางคลินิกในต่างประเทศ รายงานว่าผู้ป่วยที่ได้รับสมุนไพรที่มีสารดังกล่าว พบอาการเป็นพิษต่อไต โดยตรวจพบสาร aristolactams และ aa-dna adducts อื่นๆ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและทำให้ไตวายในผู้ป่วย
“เมื่อปี 2545 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ พืชสกุล aristolochia เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ เนื่องจากในหลายประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส โอมาน และสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศระงับ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรที่มี aristolochic acid ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายโดยทำให้เกิด ไตวายและเป็นมะเร็งทางเดินปัสสาวะ ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติจึงประกาศตัดสมุนไพรไคร้เครือออกจากตำรับยาแผนไทยในบัญชียาหลักแห่งชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2554 จำนวน 10 ตำรับ จาก 28 ตำรับ ประกอบด้วย ยาหอมนวโกฐ ยาหอมแก้ลมวิงเวียน ยาหอมอินทจักร์ ยาธาตุบรรจบ ยาประสะกานพลู ยาประสะเจตพังคี ยามัมทธาตุ ยาวิสัมพยาใหญ่ ยาเขียวหอม ยาอำมฤควาที เนื่องจากมีข้อมูลงานวิจัยบ่งชี้ว่าไคร้เครือที่ใช้และมีการจำหน่ายในท้องตลาดเป็นพืชในสกุล aristolochia” นพ.นิพนธ์กล่าว
นางณุฉัตรา จันทร์สุวานิชย์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสมุนไพร กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2555 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทำการวิจัยศึกษาความเป็นพิษของสมุนไพรไคร้เครือ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากร้านขายยาสมุนไพรในกรุงเทพมหานคร นครปฐม สกลนคร เชียงใหม่ และราชบุรี จำนวน 10 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์ทางเคมีด้วยวิธีโครมาโทกราฟีผิวบาง พบว่าทุกตัวอย่างมีสาร aristolochic acid และเมื่อใช้วิธีวิเคราะห์กึ่งปริมาณโดยใช้เทคนิค thin-layer chromatographic densitometer พบว่า สารสกัดด้วยเมทานอลจาก ไคร้เครือมีปริมาณสาร aristolochic acid ตั้งแต่ 0.06 + 0.02 จนถึง 0.28 + 0.02 กรัมต่อน้ำหนักของผงยาแห้ง ดังนั้น ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรชนิดดังกล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน