กินตามโซเชียล Fake or Fact?
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
จากการยืนยันพบว่า 80% ของข้อมูลที่แชร์ในโซเชียลมีเดีย เป็นข้อมูลที่ผิด ไม่มีแหล่งข้อมูลที่ชัดเจน และไม่ได้มาจากนักโภชนาการโดยตรง
ขณะที่โซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่ขข้อมูลทางโภชนาการต่างๆ มากมาย บ้างก็ว่ากินไข่ดิบแล้วดี กินทุเรียนเพื่อลดน้ำหนัก กินน้ำมันมะพร้าวประโยชน์สูง ฯลฯ แต่มีการยืนยันแล้วว่ากว่า 80% ของข้อมูลที่แชร์ในโซเชียลมีเดียเป็นข้อมูลที่ผิด ไม่มีแหล่งอ้างอิงข้อมูลที่ชัดเจน ผู้ที่โพสต์ไม่ใช่นักโภชนาการตัวจริง เป็นเพียงบุคคลหนึ่งที่อาจจะให้ข้อมูลที่ผิดๆ เพื่อปูทางไปสู่การขายสินค้า หรืออาหารเสริม หรือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ผู้บริโภคจะได้รับในระยะยาว ที่พบมากมักเป็นข้อมูลการกินเพื่อรักษาโรค กินเพื่อป้องกันโรค กินเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งล้วนสร้างผลกระทบและความสับสนด้านสุขภาพให้กับผู้บริโภคแทบทั้งสิ้น
จับจุดอ่อน-กลัว-ตื่นเต้น จนต้องแชร์
เมื่อมีการกล่าวถึงตลอดจนแชร์ข้อมูลผิดพลาดกันสนั่นโซเชียล ผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยฯ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และนักวิชาการ ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านโภชนาการ จึงไม่ดูดายที่จะออกมาให้ข้อมูลภาพรวมด้านโภชนาการของคนไทยในปัจจุบัน ซึ่ง พญ.นภาพรรณ วิริยะอุตสาหกุล ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงภาพรวมทางโภชนาการ อันเป็นช่องว่างให้ข้อมูลเท็จกระจายตัวอย่างรวดเร็วว่า ภาวะการขาดและเกินทางโภชนาการของคนไทยยังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง
"เราพบว่าการขาดโภชนาการในเด็กมีมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะแม่มีภาวะซีด ไม่มีการบำรุงครรภ์ ดังนั้น เมื่อเด็กเกิดมาทำให้ขาดธาตุเหล็ก ซึ่งส่งผลไปถึงระดับไอคิว อีคิว ส่วนภาวะโภชนาเกินนั้น พบว่ามีเด็กนักเรียนอ้วนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันเกินในเด็ก ทำให้แนวโน้มในอนาคตจะมีผู้ป่วยความดันสูง 10 ล้านคน และผู้ป่วยโรคเบาหวานจำนวน 3-4 ล้านคน หากมองในเรื่องผลกระทบของประเทศในระยะยาว เชื่อว่ามีแน่นอน เนื่องจากโรคดังกล่าวต้องรักษาทั้งชีวิต หากมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าจะมีภาระค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในประเทศอีกจำนวนมาก" พญ.นภาพรรณ ระบุ
ขณะที่ อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ กล่าวว่า แม้จะพบว่าปัญหาโภชนาการขาดจะมีจำนวนลดลง แต่ยังพบว่ามีปัญหาเชิงลึกซ่อนอยู่ ขณะเดียวกันก็มีปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาคือ โภชนาการเกิน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป เมื่อร่วมกันพิจารณาหาข้อเท็จจริงทางวิชาการแล้ว จึงนำไปสู่การเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบและตระหนักถึงอันตรายของข้อมูลอันเป็นเท็จดังกล่าว
"ใครจะเชื่อว่าประเทศไทยซึ่งแดดดีมาก แต่คนไทยขาดวิตามินดี หรือเด็กเติบโตมาโดยขาดธาตุเหล็ก ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะการบริโภคผิดทางตั้งแต่รุ่นแม่ และในภาวะปัญหาโภชนาการที่ยังไม่ทุเลา กลุ่มคนที่เห็นช่องโหว่ของความกลัว สำหรับสาวๆ ก็กลัวอ้วน กลัวดำ กลัวผิวไม่ใส หน้าไม่สวย หรือกลัวว่าจะเป็นโรคต่างๆ ก็ใช้แนวทางนี้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์กระจายและแชร์ข้อความ ซึ่งไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อ้างอิง เนื่องจากเนื้อหาเหล่านี้มักจะจับจุดอ่อนของผู้บริโภคมาขายของ เช่น กินแล้วผิวใส กินแล้วน้ำหนักลดภายใน 7 วัน หรือกินแล้วห่างไกลมะเร็ง ฯลฯ โดยทำข้อมูลให้น่าตื่นเต้นและหลงเชื่อกันง่ายๆ ต่อไป" ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ กล่าว
เปิด E-Book คัมภีร์การกิน
ก่อนจะชี้ให้เห็นถึงอันตรายของข้อมูลเท็จมาเปิดตำรากันก่อนว่า คุณเคยเข้าใจผิด หรือกดแชร์ข้อมูลที่หลอกล่อเราด้านใดไปแล้วบ้าง เช่น
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไข่ : การแนะนำให้กินไข่ดิบ ซึ่งเป็นค่านิยมที่เชื่อว่าช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงมีกำลังวังชาหรือเพิ่มความฟิตปั๋ง แต่การกินไข่ดิบอันตรายมากกว่าจะเกิดประโยชน์กับร่างกาย เพราะในความเป็นจริงแล้วไข่ดิบปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์มาก อาจทำให้ท้องเสียได้ ย่อยยาก อีกทั้งมีโปรตีนที่จะไปบล็อกวิตามินบางตัวในร่างกาย ทำให้ไม่สามารถดูดซึมวิตามินไปใช้ได้
นอกจากนี้ การแนะนำให้กินไข่ขาวเพราะมีโปรตีนมาก และช่วยสร้างกล้ามเนื้อซึ่งประเด็นนี้ก็ไม่เป็นความจริงทั้งหมด เพราะกล้ามเนื้อในร่างกายจะเพิ่มขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นร่วมด้วย ทั้งเรื่องคุณค่าอาหารและการออกกำลังกาย เป็นต้น ตัวแทนจากกรมอนามัย แนะนำว่าปริมาณการกินไข่ให้เหมาะสมในแต่ละวัย เช่น เด็ก 1-5 ปี วัยรุ่น ผู้ใหญ่วัยทำงาน และผู้สูงอายุ ควรกินไข่วันละ 1 ฟอง ส่วน ผู้ป่วยเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันสูง ไม่ควรกินเกิน 3 ฟอง/สัปดาห์ เป็นต้น
ข้อเท็จจริงของผลไม้ : การส่งเสริมให้คนกินน้ำผลไม้แยกกาก แต่จากผลงานวิจัยแล้วการกินผลไม้ทั้งลูกมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่า เพราะมีใยอาหารช่วยในการขับถ่าย ลดคอเลสเตอรอล มีวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งการกินน้ำผลไม้แยกกาก ยังอาจทำให้ร่างกายได้รับปริมาณน้ำตาลมากเกินไปอีกด้วย ส่วนหลักการกินผลไม้ที่ถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องกินเฉพาะตอนเช้าเสมอไป นักโภชนาการแนะนำว่าการกินผลไม้สามารถกินได้ทั้งวันวันละ 3-5 ส่วนของมื้ออาหาร
ยิ่งกินทุเรียนยิ่งผอม? : เป็นประเด็นที่แชร์กันอย่างแพร่หลาย แต่คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการคือ ไม่จริง! การแนะนำให้รับประทานทุเรียนเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งขณะนี้ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รับรองว่าเป็นความจริงแต่อย่างใด แต่หลักฐานที่ปรากฏชัด คือทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง หนึ่งเม็ดสามารถให้พลังงานสูงถึง 130 กิโลแคลอรี ดังนั้นการกินทุเรียนครั้งละ 4-6 เม็ด จะเทียบเท่ากับกินข้าวมันไก่ถึง 2 จาน (หรือการกินอาหาร 2 มื้อ) จึงเป็นไปไม่ได้ว่ายิ่งกินทุเรียนจะยิ่งผอม แต่จะให้ผลในทางตรงกันข้ามมากกว่า
ความจริงของน้ำมันมะพร้าว : มีคำแนะนำมากมายที่สนับสนุนให้กินน้ำมันมะพร้าวมากกว่าน้ำมันประเภทอื่น เพื่อรักษาโรคหรือป้องกันการเกิดโรคสารพัด แต่ในความเป็นจริงแล้วพบว่า น้ำมันมะพร้าวไม่มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย และมีไขมันอิ่มตัวสูง การบริโภคมากเกินไปจะส่งผลต่อร่างกายระยะยาว เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เช่นกัน
ศ.เกียรติคุณ พญ.จุฬาภรณ์ รุ่งพิสุทธิพงศ์ นายกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า สมาคมโภชนาการฯ ร่วมกับกรมอนามัย สธ. จัดทำ E-Book หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ชื่อว่า "ไขข้อข้องใจด้านอาหารและโภชนาการ" ผู้สนใจสามารถเข้าไปติดตามเนื้อหาได้ที่ http://www.ebooks.in.th/ebook/41484/ ดาวน์โหลดฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยภายในเล่มจะรวบรวมข้อเท็จจริงด้านโภชนาการทั้งหมดให้แก่ประชาชน พร้อมข้อมูลที่มีการวิจัยอ้างอิงอยู่ จัดทำโดยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีอินโฟกราฟฟิกสรุปเนื้อหาแนะนำการบริโภคและดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง เผยแพร่ทางไลน์ (Line) เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารอีกทางด้วย"
ก่อนจะแชร์ข้อมูลหากไม่แน่ใจว่า เป็นข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ แนะนำให้พิจารณาข้อมูลจากแหล่งที่มาที่ต้องมีความน่าเชื่อถือ โดยต้องมีบุคคลอ้างอิงที่ชัดเจน หรือมีข้อมูลวิจัยอ้างอิง ซึ่งหากมีข้อสงสัยเรื่องใดหรืออ่านแล้วเกิดคำถาม หรือมีหัวข้อที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจนให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าไม่จริง
นายกสมาคมโภชนาการยังกล่าวอีกว่า การสร้างความเข้าใจในเชิงรุกให้กับประชาชน เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านโภชนาการและสุขภาพอนามัยของคนไทยอย่างยั่งยืน สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยฯ กรมอนามัย สธ. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายทางวิชาการ ได้ร่วมกันจัดการประชุมวิชาการโภชนาการแห่งชาติ ครั้งที่ 10 ในวันที่ 18-20 ต.ค.นี้ ในหัวข้อ "โภชนาการเชิงรุก เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" เพื่อเป็นเวทีให้นักวิชาการด้านอาหารและโภชนาการ ตลอดจนผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านอาหารและโภชนาการของประเทศในมุมมองต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านอาหารและโภชนาการที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน และสร้างความตระหนักรู้ด้านการบริโภคให้กับประชาชน