การศึกษาเพื่อสัมมาชีพ

สัมมาชีพ หมายถึงการประกอบอาชีพที่ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม และมีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้ การมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่จึงเป็นบ่อเกิดของความร่มเย็นเป็นสุข ดังนั้น การพัฒนาเด็กและเยาวชนจะสำเร็จได้จึงต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย

“หากมีกระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับกระบวนการเรียนรู้เช่นนี้ ครบทุกตำบลทั้ง 8,000 แห่ง จะเกิดสัมมาชีพเต็มพื้นที่ ก็จะเกิดกระบวนการเรียนรู้ที่เข้มแข็ง จะเห็นได้ว่าจากการศึกษาครั้งนี้ มีกระบวนการเรียนรู้ที่น่าสนใจ ทั้งการทำบัญชีครัวเรือน ทำให้รู้ข้อมูลของตัวเอง และวิเคราะห์ตลาด ทำให้รู้ว่าอะไรขายได้ และมีกระบวนการผลิตโดยดูว่าทรัพยากรอะไรที่มีในท้องถิ่น และมีศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เอากระบวนการทั้งหมดมาเรียนรู้กับคนในพื้นที่”

คำกล่าวเปิดและปิดท้าย เวทีปฏิรูปการเรียนรู้ ครั้งที่ 7 ของ นพ.ประเวศ วะสี ทำให้ทุกคนต่างพากันกลับไปขบคิด ว่า ทำอย่างไร สิ่งดีๆ ที่ได้ฟังในวงเสวนาจะเกิดขึ้นและแพร่กระจายออกไปทั่วประเทศ จนเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ เกิดการปฏิรูปการเรียนรู้ครั้งใหญ่ทั้งสังคมไทย มิใช่เพียงแค่ปฏิรูปการศึกษาในระบบเท่านั้น

เวทีครั้งที่ 7 ภายใต้หัวข้อว่า “การพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของชุมชนเพื่อสัมมาชีพ” เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ณ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กลุ่มเพื่อนปฏิรูปยังเข้าร่วมกันหนาแน่นกว่า 50 คน สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทำหน้าที่ประสานงานอย่างคุ้นเคย

โจทย์สำคัญของการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ คือ กลวิธีสร้างอาชีพที่ยั่งยืนในชุมชน โดยหยิบยกกรณีตัวอย่างเทศบาลตำบลนาหมอม้า จ.อำนาจเจริญ และเทศบาลตำบลปลายพระยา จ.กระบี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการปฏิบัติการ 100 ชุมชนสร้างสัมมาชีพโดยการสนับสนุนของ สสค. ด้วยการจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน เพื่อค้นหาอาชีพที่ยั่งยืนในท้องถิ่น

ในปี 2554 กระทรวงแรงงาน จัดอบรมพัฒนาอาชีพ โดยใช้งบประมาณ 28,488 ล้านบาท ปี 2555 ใช้งบประมาณเพื่อการอบรมไปแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท รูปแบบของการฝึกอบรมส่วนใหญ่มักมาจากการตั้งหัวข้อการอบรมจากส่วนกลางเป็นหลัก อาทิ การทำขนม อาหาร ซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า

คำถามที่ตามมา คือ สามารถสร้างอาชีพในชุมชนได้จริงเพียงใด

กรณีศึกษาแห่งแรก เทศบาลตำบลนาหมอม้า จากเดิมที่ชาวบ้านยึดการทำนา มีรายได้หลักเพียงปีละ 1 ครั้ง เวลาว่างหลังการทำนาจึงมีการรวมกลุ่มทอเสื่อกก เป็นอาชีพเสริมที่ตกทอดจากบรรพบุรุษ ปี 2518 กรมการพัฒนาชุมชน สนับสนุนให้ชาวบ้านเดินทางไปเรียนรู้การพัฒนาเสื่อกกจาก จ.จันทบุรี เสื่อกกของนาหมอม้าเริ่มเป็นที่รู้จักหลังจากเป็นสินค้า otop ทำให้กระบวนการผลิตภายในคุ้มหมู่บ้านไม่เพียงพอ จึงเกิดการพึ่งพาทรัพยากรกันระหว่างคุ้ม เช่น การปลูกเสื่อกก ผลิตเส้นเสื่อกก การจ้างผลิตระหว่างคุ้ม

ปัจจุบันมีการรวมกลุ่มชาวบ้านจากทั้ง 7 คุ้ม คุ้มละประมาณ 70 ครัวเรือน แบ่งงานกันทำอย่างเป็นขั้นตอน มีการวางแผนการตลาด พัฒนาลวดลายใหม่ๆ ขยายความรู้การทอเสื่อกก รวมถึงแปรรูปเป็นเครื่องใช้เครื่องตกแต่ง ทำให้ความเป็นอยู่ของชาวบ้านดีขึ้น เกิดการเชื่อมต่อสายโซ่เศรษฐกิจไปสู่การรวมกลุ่มกิจกรรมอื่นๆ เช่น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์เพื่อการจัดการทุนประกอบอาชีพ และกลุ่มโฮมสเตย์

การรวมกลุ่มกิจกรรมของชาวบ้านได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลตำบลนาหมอม้า การสร้างกระบวนการเรียนรู้ ต่อยอดสร้างครู ทำหลักสูตรท้องถิ่นสอนนักเรียนและกลุ่มผู้สนใจให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ทั้งหมดเป็นการเรียนรู้ที่ไม่เน้นที่ห้องฝึกอบรม

          “เราต้องวางแผนเพื่อพัฒนาให้สินค้าอย่างไม่หยุดนิ่ง เพราะเหลืออีกแค่ 880 วัน ก็จะเข้าสู่อาเซียนแล้ว เราจะผลิตสินค้า และสื่อสารกับประเทศอื่นๆ อย่างไร รวมถึงการพัฒนาลวดลายการผลิตซึ่งต้องนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยต้องอาศัยลูกหลานเข้าช่วย สิ่งที่ดำเนินการอยู่ตอนนี้ คือ การทำผลิตภัณฑ์ให้เล็กลง และไม่ใช่ทำแค่เสื่อ แต่ต้องแปรรูปให้เป็นของฝากของที่ระลึกพวกหมอน หรือกระเป๋าด้วย” ป้านิ่ม เรือนขาว ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้มีฝีมือถักทอเสื่อกก เล่าประสบการณ์อย่างน่าสนใจ

กรณีต่อมา เทศบาลตำบลปลายพระยา ประชากรส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก เทศบาลได้ส่งเสริมการประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับบริบท ภูมิปัญญา และทรัพยากรของพื้นที่ให้ด้วยการเปลี่ยน “เทศบาล” ให้เป็น “ศูนย์การเรียนรู้” ที่เน้นให้แนวคิดมากกว่าปัจจัยหรือวัตถุ มุ่งส่งเสริมอาชีพให้เกิดการ “เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย” โดยการฝึกอบรมเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง

จเร ปานจีน นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลปลายพระยา เล่าว่า อาชีพหลักในชุมชนคือ ปาล์มน้ำมันและยางพารา จึงเปลี่ยนเทศบาลให้เป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อชุมชน สร้างสัมมาชีพ สร้างอาชีพในชุมชน เป็นฐานเรียนรู้ของอาชีพต่างๆ 10 กว่าฐาน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน ซึ่งมีอยู่หลายเมนูที่เหมาะกับบริบทของคนในชุมชน

“จุดเริ่มต้น คือการวิเคราะห์ตลาดและทรัพยากรในท้องถิ่นก่อน จากนั้นจึงดึงคนในเทศบาลให้เป็นผู้ลงมือทำ โดยใช้การทำบัญชีครัวเรือนเป็นเครื่องมือเพื่อให้ทราบว่ามีความขาดหรือความต้องการอะไรหรือไม่ หลังจากคนในให้การยอมรับว่าทำได้จริงก็บอกต่อคนนอก หรือประชาชนให้เข้ามาศึกษาดูงานในแต่ละฐานเรียนรู้ ซึ่งเตรียมไว้ให้เลือกได้ตามความชอบ เช่น การเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดหรือตัวด้วง ทำปุ๋ยหมัก เลี้ยงปลาดุก เป็นต้น แต่ละฐานจะเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันนำไปสู่การลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ท้องถิ่น และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาเพื่อสร้างอาชีพตามความสนใจของเด็ก”

ณรงค์ คงมาก ผู้เชี่ยวชาญการจัดทำบัญชีครัวเรือน กล่าวว่า หลักคิดของการสร้างอาชีพในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง 100 ตำบล คือ การจัดการให้ครบทั้งห่วงโซ่เศรษฐกิจ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การแปรรูป และมองตลาดให้ออก ทั้งตลาดในชุมชนและนอกชุมชน รวมถึงการทำบัญชีครัวเรือน โดยคนในชุมชนต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่า รายจ่ายมากกว่ารายได้หรือไม่ รายจ่ายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จ่ายไปเรื่องอะไร และรายจ่ายนั้นจะสามารถพัฒนาให้เกิดอาชีพใหม่ผ่านการใช้ทรัพยากรในชุมชนได้หรือไม่

ปฏิบัติการสร้างรายได้ในชุมชน จะเกิดขึ้นได้ต้องมีกระบวนการจัดการ เพื่อมองหาอาชีพที่สามารถทำรายได้ และอยู่รอดได้จริงในชุมชน

ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ตอกย้ำให้เห็นถึง 3 ประเด็นที่สำคัญคือ

1. ผู้นำชุมชน มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้นำชุมชนที่มีวิสัยทัศน์ จะสามารถเปลี่ยนแปลงชุมชนและทำให้ชุมชนเกิดความสามัคคีร่วมมือกัน สร้างสิ่งที่ดีขึ้นมาได้ นี่คือบทเรียนที่ชัดเจน

2. การคิดอย่างครบวงจร เพราะการผลิตเพียงอย่างเดียว คิดด้านเดียวเป็นความผิดที่ซ้ำซากที่ทำกันมานาน และจะเป็นปัญหาต่อไป เนื่องจากผลิตมาแล้วขายไม่ได้ ดังนั้น การคิดให้ครบวงจร ตั้งแต่ความต้องการ จำนวนที่ผลิตซึ่งจะเกี่ยวโยงกับราคา การตลาด การขนส่ง รวมถึงเทคโนโลยีการผลิตที่ต้องเพิ่มเติมอย่างหยุดนิ่งไม่ได้ และต้องทำอย่างต่อเนื่องถึงจะยั่งยืน

3. การทำงานที่ไม่คิดแคบ มองถึงอาเซียนว่า เหลือเวลาอีก 880 วัน จะกระทบอย่างไร แสดงว่าคิดปรับปรุงอยู่ในใจ ลักษณะการมองเช่นนี้จึงเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า ชุมชนสัมมาชีพเกิดความยั่งยืนได้

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน  โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์
Shares:
QR Code :
QR Code