“กะปาง”โมเดล ตำบลสุขภาวะ 100 ครัวเรือน 100 ความคิด 100 ตัวอย่างการผลิต

 

ในการทำงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน “การมีส่วนร่วม” คือพลังสำคัญในการขับเคลื่อนทุกแนวคิด ทุกนโยบายต่างๆ ให้เดินไปถึงเป้าหมายที่ชุมชนตั้งใจไว้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาต่างๆ ในชุมชน หรือการริเริ่มดำเนินการในเชิงสร้างสรรค์เพื่อทำให้ชุมชนพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่แม้จะทราบในหลักการ ทว่าในทางปฏิบัตินั้น การสร้าง “การมีส่วนร่วม” กลับไม่ง่ายเลย

“ตำบลกะปาง” เป็นตำบลในพื้นที่รอยต่อระหว่าง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช และ อ.รัษฎา จ.ตรัง สิ่งที่น่าสนใจคือภายในตำบลมีการรวมกลุ่มต่างๆ อย่างคึกคักและเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสวนยาง กลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ กลุ่มออมทรัพย์ ตลอดจนกลุ่มย่อยอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเสมือนฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนกะปางไปสู่การเป็นชุมชนพึ่งตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลไกทั้งระบบ ถูกขับเคลื่อนด้วย “กระบวนการประชาคม”

อภินันท์ ชนะภัย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลกะปาง ยืนยันว่า กระบวนการประชาคมเป็นภาพสะท้อนถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เห็นผลสัมฤทธิ์อย่างชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่ง

“ชุมชนมีความพร้อม เพราะชุมชนคิดเอง แก้ปัญหาเอง” เขายืนยัน “เวทีประชาคมทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการช่วยจัดระเบียบความคิดของคนในชุมชนให้มองเห็นทั้งกระดาน”

“การเปิดเวทีประชาคม ก็เพื่อเอาทุกปัญหามาอยู่ในเวทีแล้วพูดคุย หาแนวทางในการแก้ปัญหา และพัฒนา หาแนวทางในการเรียนรู้และพึ่งพาตนเอง รวมทั้งช่วยเหลือกันในชุมชนในการตัดสินใจ ซึ่งเราใช้ข้อมูล 3 ส่วน ส่วนแรกคือบัญชีครัวเรือน เพื่อพิจารณาเรื่องความยากจนของคนในชุมชน ดูรายรับรายจ่าย ได้มาจากไหน จ่ายอะไรบ้าง นำไปสู่การค้นพบว่า เราจะแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างไร ส่วนที่สอง แบบสอบถาม ให้ประชาชนส่งข้อมูลมาให้ทำการวิเคราะห์ ส่วนสุดท้าย เวทีประชาคมหมู่บ้าน และบอร์ดตำบล โดยทุกวันที่ 28 ของเดือนเป็นการประชุมเพื่อเอาทุกอย่างมาใช้ มาร่วมคิดร่วมตัดสินใจร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ ร่วมตรวจสอบ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของตำบล” เขาอธิบาย

ผลก็คือ การเกิดขึ้นของกลุ่มออมทรัพย์ที่ถือเป็นจุดเชื่อมในการดึงผู้คนให้มารวมกัน ได้สร้างความรู้สึกร่วม ตอกย้ำความเป็นพวกพ้อง ต่อยอดด้วยการเกิดขึ้นของธนาคารตำบลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของชาวกะปางให้เข้ามาในระบบ ก่อนจะแตกกิ่งก้านกลายเป็นกลุ่มย่อยต่างๆ อีกกว่า 36 กลุ่ม เพื่อช่วยพยุงและค่อยๆ แก้ปัญหาปากท้องของชุมชนไปพร้อมๆ กัน

สามิตร อ่อนคง อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคใต้ (sctทุ่งสง) หนึ่งในวิทยากรประจำที่แวะเวียนมาให้ความรู้กับชาวกะปางเสริมว่า ที่จริงชาวบ้านต่างรู้ปัญหาดีอยู่แล้ว เพียงแต่ในการแก้ไขต้องใช้กระบวนการร่วมมือกัน

“ง่ายๆ ก็คือ ปัญหาทุกปัญหาชาวบ้านรู้ดีอยู่แล้ว แต่เราใช้จากกระบวนการคิดของชาวบ้านที่ทำ เพราะการกระทำของชาวบ้านโดยพฤตินัย คือพี่น้องไม่สามารถจัดกลุ่มปัญหาเป็นเรื่องเป็นราวได้ ท้องถิ่นเพียงแต่เข้าไปต่อยอดจากสิ่งที่เขามี อย่างสวนสมรม (สวนยางปลูกพืชผสมผสาน) ก็ไม่ใช่คำใหม่สำหรับชาวกะปาง เพียงแต่เป็นตัวกระตุ้น ความคิดอะไรที่มีประโยชน์ก็เอามาแบ่งปันกัน

“ประชากรในหมู่บ้าน 100 ครัวเรือน เขาก็มีความคิด 100 ความคิด 100 ตัวอย่างการผลิต ซ้ำกันก็ตก ไม่ซ้ำก็เอามารวม ก็กลายเป็นสมรม(ผสมผสาน)แบบง่ายๆ บ้านๆ ไม่ต้องตั้งหลักวิชาการ บ้านผู้ใหญ่มีพันธุ์ไม้อย่างนี้อยู่แล้ว บ้านกำนันก็มี ก็เอามารวมกัน ตัดส่วนที่เหมือนกันออก เอาส่วนที่ต่างกันมาแชร์กัน ก็สร้าง แล้วช่วยกันดูแล แล้วรับประโยชน์ร่วมกัน

“สิ่งไหนที่สามารถผลิตทดแทนได้โดยไม่จำเป็นต้องซื้อ ก็ให้เขาผลิตเองเพราะของทุกอย่างเป็นวัสดุใช้ซ้ำ แล้วชาวบ้านทำเองได้ ยาสระผม น้ำยาล้างจาน สบู่ ทำใช้ได้ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถจำหน่ายได้ เพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือนและชุมชนได้ ปลูกไว้กิน เหลือกินขาย เหลือจ่ายเก็บ สามส่วนแค่นี้ที่คุยกัน ปลูกเพื่อประหยัดรายจ่ายในครัวเรือน ถ้ามันเหลือ ขายให้หมด เหลือจ่ายค่อยมาออมสัจจะวันละบาท ธนาคารตำบล ก็เก็บไว้เป็นทุนในกับตัวเรา” สามิตร กล่าว

พยนต์ จันทรมาศ ประธานศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านกะโสม ช่วยเสริมว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีที่มาจากกระบวนการประชาคม การร่วมกันทำ และช่วยกันแก้ไขปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

“กระบวนการเหล่านี้ เกิดจากการลองผิดลองถูก ทำมาเรื่อย สรุปกิจกรรมก็ทำต่อ ตรงไหนไม่ถูกก็ปรับปรุง อยากมีความรู้ก็ไปหาความรู้ อยากรู้เรื่องดิน ก็ไปคุยกับหมอดิน อยากรู้เรื่องพืชก็ไปเกษตร”

ล่าสุด พยนต์และเพื่อนๆ ในชุมชน ยังได้ช่วยกันทำโครงการ “ลงแขกแลกงาน” ในช่วงเข้าพรรษา ร่วมกันเอาแรงไม่เอาเหล้า ทำให้หลายพื้นที่ในชุมชนสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงาน และมีผลลัพธ์ทางบวกอย่างน่าทึ่ง

วันนี้ กะปางได้กลายเป็นหนึ่งในตำบลสุขภาวะ โดยมีศักยภาพเป็นศูนย์เรียนรู้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ยิ่งเป็นการย้ำชัดถึงประสิทธิภาพการขับเคลื่อนโดยชุมชนเพื่อชุมชน ซึ่งนอกจากการผสานวิถีชุมชนให้สอดคล้องกับธรรมชาติมากขึ้นแล้ว กระบวนการต่างๆ ของชุมชนที่ผูกโยงกันไว้อย่างเหนียวแน่นด้วยสายสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ยังสามารถสร้างสังคมอุดมคติที่พึ่งพิงกันอย่างอบอุ่น เข้มแข็ง และยั่งยืนได้อีกด้วย

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

Shares:
QR Code :
QR Code