กล่อมเกลาเยาวชน ด้วยจิตวิทยาสังคม
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์
แฟ้มภาพ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนที่ก้าวพลาด การให้โอกาสในการกลับตัวปรับพฤติกรรม ซึ่งต้องอาศัยองค์ความรู้เข้ามาช่วย เช่น จิตวิทยาสังคม ที่นำมาประยุกต์ใช้และช่วยเยียวยาทางด้านจิตใจให้ดีขึ้น
"เด็กๆ ที่ป้าทำงานด้วย ทำให้ป้ารู้สึกมีคุณค่า เพราะเด็กเหล่านี้เป็นเด็กปลายน้ำที่สังคมมองว่าเป็นผู้ก่ออาชญากรรม เป็น กลุ่มเด็กที่ต้องเก็บไว้ให้มิดชิด การให้พื้นที่กับป้าในการทำงานเหมือนเป็นการให้พื้นที่กับเด็ก ในเวลาที่รอคอย ไม่มีใคร born to be เพื่อมาเป็นอาชญากรให้คนก่นด่า เกี้ยวกราดใส่ สุดท้ายมาจบที่คุก"
เป็นคำบอกเล่าของ นางทิชา ณ นคร (ป้ามล) ผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก สะท้อนภาพนิยามของคำว่า "จิตวิทยาสังคม" คือ การศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ที่อยู่ในบริบทของสังคม เป็นการศึกษาเพื่อความเข้าใจ สามารถอธิบายได้ และนำไปสู่การควบคุม เป็นการศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยมีการใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อ้างอิง
ในการเสวนาสาธารณะ "มองโลก เปลี่ยนโลก ด้วยจิตวิทยาสังคม" จัดโดยโครงการ ขับเคลื่อนความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาวะเด็กและครอบครัวและการพัฒนาศักยภาพเยาวชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักพิมพ์ bookscape และแขนงวิชาจิตวิทยาสังคมพื้นฐานและประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ร่วมเสวนา ทั้ง รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตรี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์เด็กและวัยรุ่น,ดร. ทิพย์นภา หวนสุริยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้แปล จิตวิทยาสังคม : ความรู้ ฉบับพกพา, พรจรรย์ ไกรวัตนุสสรณ์ ผู้ก่อตั้ง School of Changemakers, นายปราบ เลาหะโรจนพันธ์ ที่ปรึกษาด้าน communication Strategy โครงการ Rethink Thailand
ดร.ทิพย์นภา ขยายให้เห็นชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นมาจะมีคำถามตามมาว่าทำไม ดังนั้นความเข้าใจ การอธิบาย บอกเล่าในสิ่งที่คิดหรืออะไรก็ตามจะมีผลต่อพฤติกรรมของเขา สิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ต่างๆ คนมักจะโทษว่าเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลซึ่งจะง่ายกว่าจะบอกว่าเป็นเรื่องของสังคม นับว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ง่าย ในทางจิตวิทยา การแก้ไขไม่ใช่เป็นการเอาเขาออกไป แต่ในทางจิตวิทยาจะเป็นการเข้าใจ ควบคุม ในขณะเดียวกันจิตวิทยาสังคมจะนำมาประยุกต์ใช้และช่วยเยียวยาทางด้านจิตใจเช่นกัน
ป้ามล มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนในวันนี้ เราไม่มีเหตุผลอะไรที่จะผลักดัน หรือละเลยเขา เมื่อใดที่เราปิดประตูใส่เขา ประตูคุกจะเปิดทันที ดังนั้น รัฐจะต้องเปิดพื้นที่ดีๆ ให้เด็ก สิ่งที่ตนเรียกร้องมานี้เหมือนเป็นแผ่นเสียงตกร่องที่ตนและผู้เกี่ยวข้อง เรียกร้องมาโดยตลอด เราควรจะดีใจหรือไม่ ที่ประเทศไทยมีสถานพินิจสำหรับเยาวชนมากถึง 19 แห่ง 1 ในนั้นรวมบ้านกาญจนาฯ อยู่ด้วย ตนอยากจะบอกว่าเวลาเกิดเหตุมันไม่ใช่เรื่องของปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของครอบครัว สิ่งแวดล้อมและสังคม ดังตัวอย่างที่ตนให้เยาวชนในบ้านกาญจนาฯ บอกว่าทำไมพวกเขาถึงต้องออกจากครอบครัว พบว่ามีถึง 22 รูปแบบ ที่ครอบครัวผลักดันให้เยาวชนออกมา ซึ่งสาเหตุหลักๆ สามารถสรุปได้มี 3 ทางคือ 1. การที่ผู้ปกครองพูดถึงแต่ความสำเร็จของตนเองซ้ำซาก 2. การเปรียบเทียบกับคนรอบข้าง 3. เมื่อเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี เราสามารถกดให้เขาอยู่กับครอบครัวได้ แต่เมื่ออายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป มันจะเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมเดินออกมา
ขณะที่ปราบ ระบุว่า การสื่อสารใดๆ เราจะต้องทำความเข้าใจกับคนที่เราจะสื่อสารด้วย จิตวิทยาสังคมเป็นเครื่องมือที่สำคัญ เพราะสังคมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราไม่สามารถใช้ทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งได้ตลอดไป
รศ.นพ.สุริยเดว บอกว่า ระบบการศึกษาไทยที่แพ้คัดออก เป็นระบบที่ทารุณกรรม ลิดรอนสิทธิของเด็ก อยากจะบอกไปยังผู้บริหารประเทศว่า ไม่ควรมีระบบแพ้ คัดออก มีเด็กหน้าห้อง หลังห้อง และเด็กที่จะอยู่ดีมีสุขได้จะต้องมาจากการเตรียมพร้อมที่ดีของพ่อแม่ ครอบครัว และสิ่งแวดล้อม จากประสบการณ์ของหมอ พบว่า 25% พ่อแม่หรือคนที่พามาคือปัญหา และอีก 25% มาจากเด็กที่มีปัญหาเรื่องการเรียนรู้ เช่น เป็นออทิสติก ซึ่งเด็กมักถูกเปรียบเปรยว่าเป็นผ้าขาว แต่สำหรับหมอ เด็กคือผ้าสีต่างๆ จึงไม่ควรเลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ ไม่เปิดใจรับฟัง และไม่ยอมรับว่าศักยภาพของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เมื่อใดพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครู เปิดใจ เราจะได้ยินเสียงของเด็กว่าเขาต้องการอะไร รู้สึกอย่างไร และจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร ดังนั้นจิตวิทยาจึงเป็นส่วนสำคัญของมนุษย์และเป็นกระบวนการให้กับเด็กด้วย 3 หลักง่ายๆ คือ 1. เปิดใจ 2. รับฟัง และ 3. ยอมรับว่าเด็กทุกคนเกิดมามีคุณค่า
ด้าน พรจรรย์ บอกว่า จากการทำ Market Research พบว่า 94% ของคนไทยอยากแก้ปัญหา อยากทำอะไรดีๆ เพื่อสังคม แต่ใน 70% ของคนเหล่านี้ไม่ได้ลงมือทำ ด้วยเหตุผลหลักๆ คือ ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงและไม่มีคนสนับสนุน สิ่งที่ School of Changemakers ทำคือ การทำโปรเจกต์ และกิจกรรมในสังคม นำข้อมูลมาออกแบบระบบสนับสนุนให้เข้ากับคนุร่นใหม่/นักเรียน เปิดโอกาสความคิดสร้างสรรค์ มีระบบที่ดีและถูกต้อง จากประสบการณ์ที่ทำงานมา การที่มีกิจกรรมเพื่อสังคม จะทำให้เราเห็นด้านดีของตนเองและเข้าใจตนเอง ดังนั้นการแก้ไขปัญหา คือการเติมช่องว่างของคนอื่น
จิตวิทยาสังคม คือเครื่องมือที่จะนำไปสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาของสังคมได้อย่าง ถูกต้อง ปัญหาของเด็กและเยาวชนในวันนี้ไม่ใช่เรื่องของปัจเจกบุคคลอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของสังคมที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ต้องออกมาร่วมกันรับผิดชอบและหาพื้นที่ดีๆ ให้กับพวก เด็กๆไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งที่พูดกันในวันนี้จะเป็นเพียงแผ่นเสียงตกร่องที่วนซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่มีทางแก้