กระบวนการที่เป็นมิตรเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงถูกละเมิดทางเพศ

ชี้! ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนไม่ได้แต่งตัวโป๊

 

กระบวนการที่เป็นมิตรเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงถูกละเมิดทางเพศ          “เคยถามผู้เสียหายว่าคำถามอะไรที่ทำร้ายจิตใจมากที่สุดเขาบอกว่าคำถามประเภทที่ว่า หลังจากผู้ต้องหาสอดใส่อวัยวะเพศแล้ว “ชักเข้าชักออกกี่นาที” อันนี้เขาบอกว่าบาดใจมากน้ำตาไหลเลย”  เป็นคำบอกเล่าของนางสาวเพิ่มขวัญ มีสกุล ทนายความเครือข่ายมูลนิธิเพื่อนหญิง บนเวทีสัมมนาเรื่อง “กระบวนการที่เป็นมิตรกับการคุ้มครองผู้ถูกละเมิดทางเพศ” จัดโดยมูลนิธิเพื่อนหญิง โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

 

          เธอบอกว่าไม่เพียงแต่ในชั้นพนักงานสอบสวนที่ผู้หญิงจะถูกซักถามอย่างไม่ค่อยคำนึงถึงสภาพจิตใจ ในชั้นศาลคำถามของทนายจำเลยก็ทำร้ายจิตใจผู้เสียหายมากเช่นกัน เพราะข้อต่อสู้ของจำเลยคดีข่มขืนกระทำชำเราส่วนใหญ่มี 2 ประเด็น คือ จำเลยไม่ได้กระทำ หรือไม่ก็ผู้หญิงยินยอม ทนายความฝ่ายจำเลยจึงพยายามซักถามเพื่อให้เห็นว่าผู้หญิงยินยอมพร้อมใจเองไม่ใช่เป็นการข่มขืนกระทำชำเรา! เพราะเหตุนี้ เพิ่มขวัญจึงให้ความสำคัญกับการซักซ้อมการตอบคำถามของผู้หญิงในศาล เพื่อสร้างความคุ้นเคยไม่ให้ตื่นตระหนก สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เมื่อเจอกับคำถามบาดใจจากทนายความฝ่ายจำเลย

 

          นอกจากนี้ ในระหว่างการพิจารณาคดี ทนายความหญิงผู้นี้เห็นว่าเป็นการดีที่ผู้เสียหายจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับจำเลย เพราะบางครั้งจำเลย ญาติ ตลอดจนพวกพ้องของจำเลย อาจมีการแสดงท่าทีข่มขู่ให้ฝ่ายผู้เสียหายหวาดกลัว ซึ่งนางอุบลรัตน์ ลีพัฒนากิจ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี ได้เปิดเผยว่าขณะนี้ศาลอาญาธนบุรีได้มีห้องพิจารณาคดีที่มีการกั้นระหว่างจำเลยและผู้เสียหายมีจอมอนิเตอร์อยู่หน้าหน้า ผู้เสียหายจะเห็นจำเลยจากกล้องโทรทัศน์นี้ ถ้าไม่อยากเห็นหน้าก็ปิดเครื่องไป และยังมีห้องพักพยานหรือผู้เสียหายโดยเฉพาะ

 

          ทางด้านตำรวจซึ่งเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม พ.ต.ท.หญิงฉัตรแก้ว วรรณฉวี พนักงานสอบสวนหญิง (สบ.3) สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง กล่าวถึงกระบวนการที่เป็นมิตรในชั้นของพนักงานสอบสวนเพื่อคุ้มครองผู้เสียหายคดีทางเพศว่า ปัจจุบันมีพนักงานสอบสวนหญิง 130 ตำแหน่ง กระจายอยู่ตาม สน.ต่างๆ เฉพาะในนครบาล ต่างจังหวัดมีที่ เชียงใหม่ หาดใหญ่ และพัทยา มีการจัดให้มีห้องสอบสวนเฉพาะซึ่งยังมีไม่ครบทุกสถานี และมีขั้นตอนการชี้ตัวผู้ต้องหาที่ผู้ต้องหาไม่สามารถเห็นหน้าผู้เสียหายหรือพยานในขณะทำการชี้ตัว

 

          “ภัยข่มขืน” เป็นอาชญากรรมที่ผู้เสียหายถูกมองว่าเป็นสาเหตุของปัญหาเพราะมายาคติเรื่องข่มขืนว่าเป็นเพราะผู้หญิงแต่งตัวโป๊ยั่วยวนผู้ชาย ไม่ระมัดระวังตัวเอง ขณะที่มีมายาคติอีกชุดหนึ่งสำหรับผู้ชายว่าเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศแล้วไม่สามารถยับยั้งได้ มีแต่ผู้ชายที่ผิดปกติทางจิตเท่านั้นที่ข่มขืนผู้หญิง รวมถึงค่านิยมสองมาตรฐานให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว ส่งเสริมให้ผู้ชายมากประสบการณ์เรื่องเพศ

 

          จากการทำงานของมูลนิธิเพื่อนหญิง พบว่า การข่มขืนเป็นการแสดงความมีอำนาจเหนือกว่าของเพศชายต่อเพศหญิง ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนไม่ได้แต่งตัวโป๊ ผู้ชายที่ก่อเหตุข่มขืนอยู่ในทุกสถานภาพของสังคม มีภาวะจิตปกติเช่นคนทั่วไป สามารถควบคุมอารมณ์ทางเพศของตนได้ และมักเป็นคนรู้จักคุ้นเคย ใกล้ชิด รวมถึงเครือญาติคนในครอบครัวเดียวกันรวมถึงสามี

 

          ในปี 2551 มีผู้ประสบปัญหามาขอคำปรึกษาที่มูลนิธิฯ จำนวน 741 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ 73 ราย หรือ ร้อยละ 10 รวมเป็นกรณีปัญหาได้ 265 กรณี (ผู้เสียหาย 1 ราย มีปัญหามากกว่า 1 กรณี) แบ่งเป็นปัญหาด้านกฎหมาย 77 กรณี มากที่สุดคือข่มขืน และปัญหาด้านสังคมสงเคราะห์ 188 กรณี มากที่สุดคือมีความกลัว ความเครียด รองลงมาคืออับอาย ไม่กล้าเล่าเรื่องให้ใครฟัง

 

          ขณะที่การรวบรวมข่าวการละเมิดทางเพศจากหนังสือพิมพ์ของมูลนิธิฯ ในปี 2551 มีจำนวน 227 ข่าว เป็นข่าวข่มขืนมากที่สุด 113 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 50 รองลงมาคือพยายามข่มขืน 30 ข่าว และรุมโทรม 27 ข่าว ในจำนวนข่าวทั้งหมดนี้มี 34 ข่าว ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้น ทั้งผู้กระทำดื่มเหล้าก่อนก่อเหตุผู้กระทำดูสื่อลามกและดื่มเหล้า และผู้กระทำและผู้ถูกกระทำดื่มเหล้าด้วยกัน

 

          ปัญหาการละเมิดทางเพศส่งผลกระทบกับผู้หญิง สังคมโดยรวม และเกี่ยวข้องกับเจตคติ ความเชื่อที่สั่งสมมานาน การรณรงค์แก้ไขจึงต้องรื้อถอนมายาคติเดิมๆ พร้อมกับสร้างความคิดความเข้าใจใหม่บนพื้นฐานความเท่าเทียมทางเพศในทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคล ให้ผู้ชายปรับเปลี่ยนวิธีคิด ไม่มีพฤติกรรมสนับสนุนหรือกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง ไม่เสพสิ่งมึนเมาหรือสื่อลามกอนาจาร ครอบครัวเป็นกำลังใจสำคัญเมื่อมีสมาชิกในครอบครัวถูกละเมิดทางเพศ ไม่ตำหนิหรือดุด่า ร่วมหาทางแก้ไข ไม่เลือกปฏิบัติในการอบรมสั่งสอนลูกหญิง-ชาย ชุมชนร่วมเฝ้าระวังไม่ให้มีการทำร้ายผู้หญิง และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี เช่น การจำกัดสถานที่จำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สังคมร่วมสร้างกลไกและค่านิยมที่สนับสนุนความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย

 

          ถ้าไม่เป็นเช่นนี้แล้ว จะมั่นใจได้อย่างไรว่าสักวันภัยทางเพศจะไม่เกิดขึ้นกับคนที่เรารักบ้าง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

 

 

Update 22-09-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์

Shares:
QR Code :
QR Code