`กระจายอำนาจ` ทางออกสารพัดปัญหาเมืองไทย
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
บ่อยครั้ง "นโยบายการพัฒนามักขับเคลื่อนโดยส่วนกลางเป็นหลัก" ทำให้มักพบปัญหาสูญเสียงบประมาณโดยไร้ประสิทธิภาพเพราะโครงการจากส่วนกลางไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่บ้าง โครงการที่ลงไปเกิดผลกระทบกับวิถีชีวิตคนในพื้นที่จนถูกประท้วงต่อต้านบ้าง หรือบางยุคสมัยมีการนำโครงการพัฒนาไปข่มขู่กลายๆ ว่าถ้าพื้นที่ไหนไม่สนับสนุนขั้วการเมืองของตนเองแล้วจะไม่ช่วยพัฒนาพื้นที่นั้นบ้าง
จากข้างต้นทำให้การพัฒนาเกิดขึ้นแบบ "ไม่ทั่วถึง-ไม่เท่าเทียม-ไม่เหมาะสม" ซึ่ง รากของปัญหามาจาก "การรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลาง" นอกจากกรุงเทพฯ ที่เป็นเมืองหลวงแล้ว พื้นที่อื่นๆ จะทำอะไรก็มักต้องรอท่าทีจากส่วนกลางทั้งนโยบายและงบประมาณเป็นหลัก อีกทั้งปัญหา "รถติด-เมืองแออัด-ชีวิตเร่งรีบ" ในกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งก็มาจากโครงสร้างการ รวมศูนย์อำนาจนี้ด้วย เพราะเมื่อท้องถิ่นอื่นๆ เจริญเติบโตช้า ผู้คนย่อมต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาแสวงหาโอกาส ต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่ เวทีสุดยอดผู้นำชุมชนท้องถิ่น "วาระ : ลดปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ เพิ่มปัจจัยเสริมสุขภาวะ" ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งจัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน (ศวช.) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เอ็นนู ซื่อสุวรรณ ประธานกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เปิดเผยว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้น แผนยุทธศาสตร์ชาติจึงมีส่วนหนึ่งตั้งเป้า "กระจายความเจริญ" ไว้ด้วย
"เรื่องหนึ่งที่สำคัญคือการกระจายความเจริญ ผมเขียนในยุทธศาสตร์ชาติว่าใน 20 ปีข้างหน้าต้องกระจายความเจริญ แทนที่จะปล่อยให้กรุงเทพฯกับปริมณฑลเจริญแบบนี้ หรือมีเฉพาะภาคตะวันออกที่มีอีอีซี (EEC- โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก) ชลบุรี ระยอง ควรจะให้กระจาย ทุกภูมิภาค ถ้ากระจายทั่วทุกภูมิภาคได้ คนต่างจังหวัดจะเลิกเข้ากรุงเทพฯ จะกลับไปอยู่บ้านตัวเอง ทุกภาคต้องมีจังหวัดที่เจริญ มีจังหวัดหลักจังหวัดรอง เราเขียนไว้ว่าภายใน 20 ปี ต้องมีไม่น้อยกว่า 15 จังหวัดหลัก และ 15 จังหวัดรอง
ต้องทุ่มงบประมาณลงไป เพื่อให้เขาสามารถทำงาน ให้สามารถเดินทางเช้าไป-เย็นกลับไม่เกิน 100 กิโลเมตร เพื่อให้หนุ่ม-สาว พ่อ-แม่ออกไปทำงานแล้วกลับมาหาลูกได้ทุกเย็น ไม่เช่นนั้นขณะนี้เราเป็นครอบครัวแหว่งกลาง มีแต่คนแก่กับเด็กทำให้ดูแลเด็กไม่ไหว แล้ว ก็เกิดเด็กแว้น เด็กท้องไม่พร้อม เด็กติดยา เด็กติดเกม เด็กมีปัญหาเยอะแยะ เพราะปู่ย่าตายาย ไล่ตามเด็กเหล่านี้ไม่ทัน แต่ถ้าอยู่กับพ่อแม่ก็จะสามารถดูแลได้" เอ็นนู กล่าว
ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยังกล่าวถึงการเสริมศักยภาพของท้องถิ่น เอ็นนู ยกตัวอย่างการ "ปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมาย" ที่ปิดกั้น ไม่ให้ท้องถิ่นได้ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ซึ่งผู้บริหารท้องถิ่นมักจะพูดกันว่าเมื่อมีปัญหาในพื้นที่และค้นพบวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมแล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะผิดระเบียบราชการ หากฝืนทำไปอาจถูกดำเนินคดีและเรียกงบประมาณแผ่นดินที่ใช้ไปคืนแม้จะมีเจตนาดีก็ตาม ในแผนยุทธศาสตร์ชาติจึงเขียนให้ทยอยแก้ไขข้อจำกัดนี้ไว้ด้วย เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถให้บริการ ที่ตอบโจทย์ประชาชนได้อย่างแท้จริง
รวมถึง "ส่งเสริมเวทีสาธารณะ" ให้ทุกภาคส่วนในชุมชนหรือท้องถิ่นนั้นๆ ได้ระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่ของตนเอง และวิเคราะห์นโยบายพัฒนาจากส่วนกลางที่เข้ามาในพื้นที่ว่าชุมชนจะได้ประโยชน์หรือผลกระทบมากกว่ากัน เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะชี้แจงกลับไปยังส่วนกลางต่อไป เพราะต้องยอมรับว่ารัฐบาลส่วนกลางอาจไม่เข้าใจบริบทพื้นที่ที่แตกต่างกัน เมื่อคิดนโยบายได้แล้วก็มักจะสั่งการลงไปแบบเหมารวมทุกพื้นที่
ขณะที่ นพ.จักรกริช โง้วศิริ ผู้ช่วยเลขา ธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึง "การดูแลผู้สูงอายุ" ซึ่งจะต้องทำมากกว่าโครงการที่มีอยู่แล้วอย่างโรงเรียนผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุมีหลายกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มอยู่ลำพังลูกหลานไปทำงานในเมือง ไปจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุป่วยติดบ้าน-ติดเตียง เรื่องนี้ควรส่งเสริมให้ท้องถิ่นได้ทำ เพราะจะเป็นการ "กระจายรายได้"ให้คนในชุมชนที่สามารถดูแลผู้สูงอายุได้ มีงานทำในฐานะ "นักบริบาลชุมชน (Caregiver)" ดูแลคนในชุมชนด้วยกัน ดีกว่าให้ไปเสี่ยงกับการจ้างคนอื่นมาดูแลที่อาจจะเจอคนไม่ดีก็ได้
"เป็นนิมิตหมายที่ดีที่รัฐบาลชุดนี้เริ่มผลักดันให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานต่างๆ มีบทบาทรับผิดชอบ และต้องกระจายอำนาจและบทบาทนี้ให้กับท้องถิ่น โดยเฉพาะตอนนี้ก็เริ่มเน้นที่ผู้สูงอายุ เดี๋ยวระเบียบของมหาดไทยเกี่ยวกับบทบาทการใช้อำนาจใช้เม็ดเงินของท้องถิ่นก็อาจจะดีขึ้น อันนี้คือการมีส่วนร่วมในระดับนโยบายเพื่อช่วยผลักดันให้พื้นที่ทำงานได้ เกิดความสบายใจว่าทำแล้วมีผลงาน ทำแล้วไม่ถูก สตง. (สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) ตรวจสอบ อ้างว่าไม่มีหน้าที่บ้าง แต่ไม่ได้มองผลลัพธ์ที่เกิดกับประชาชนว่ามันคืออะไร" นพ.จักรกริช ระบุ
ปัญหาประเภทโครงการจากส่วนกลางสั่งลงมาแต่เสียงสะท้อนจากชุมชนระบุว่าไม่ตอบโจทย์ ยืนยันอีกเสียงหนึ่งจากเรื่องเล่าของ ธวัชชัย ฟักอังกูร ประธานกรรมการบริหารแผนคณะที่ 3 สสส. ว่า หลายสิบปีก่อนสมัยที่ยังรับราชการอยู่นั้น ได้นำสารพัดโครงการจากส่วนกลางไปเสนอให้กับกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านในท้องถิ่นต่างๆ แล้วพบปัจจัยที่ทำให้โครงการไม่สอดคล้องกับพื้นที่
"คนที่จะเข้ามาจัดการไม่มีทางที่จะรู้ข้อมูลได้ลึกซึ้งได้ดีกว่าคนที่อยู่ในชุมชน แต่กลับกันสิ่งที่ชุมชนต้องการ ทางราชการก็บอกว่าไม่มีหรือมีไม่พอ เงินไม่มี เงินน้อย เงินไม่ได้มาอำเภอนั้นหมู่บ้านนี้ จะเห็นว่ามันมีขาดมีเกิน ที่มีเกินก็มี ถึงขนาดบอกว่าช่วยรับโครงการนี้ไปหน่อย เช่น ผมมีโครงการทำแก๊สชีวภาพแต่หาที่ลงไม่ได้ ผู้ใหญ่บ้านช่วยหน่อยได้ไหมที่ไหนจะบ่อแก๊สชีวภาพ ได้รางวัลมาเยอะแล้วก็เอาโครงการนี้ไปหน่อย ฉะนั้นความไม่พอดีกันที่เราเห็น มันก็เลยนำมาซึ่งความขาดแคลน นำมาซึ่งการพัฒนาที่ไม่ตรงจุด
แต่ถ้าชุมชนเราลุกขึ้นมาแล้วสามารถบอกได้เป็นเสียงเดียวกันว่าชุมชนของเราขาดอะไรเกินอะไร อะไรไม่ต้องเอามาอะไรที่ยังขาดอยู่ โดยมีระบบของการที่จะคิดค้นว่าวันนี้ปัญหาชุมชนมีอะไร จัดลำดับปัญหาอย่างไร แล้วชุมชนมีแนวทางวิเคราะห์ว่าปัญหาใดชุมชนแก้เองได้ ปัญหาใดชุมชนแก้ไม่ได้ แล้วเอาปัญหาต่างๆ ไปเร่ขอเขา (ส่วนกลาง) ได้ ส่วนราชการก็เพียงแต่สนับสนุนให้ชุมชนในส่วนที่ขาด ถามว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นหรือยัง เรามีตัวอย่างกว่า 2,000 แห่งที่เราได้ทำ นี่คือสิ่งที่ สสส. ทำโดยเรียกว่าทศวรรษการสร้างเสริมสุขภาพโดยชุมชน" ธวัชชัย กล่าว
อีกด้านหนึ่ง ภายในงานยังมีการปาฐกถาโดย นพ.ประเวศ วะสี ซึ่งยกตัวอย่างหลายประเทศที่การกระจายอำนาจทำให้เกิดความเจริญขึ้นไปทั่ว อาทิ สหรัฐอเมริกา ที่นับตั้งแต่วันก่อตั้งประเทศได้ตกลงกันแล้วว่าจะยัง "ให้ความสำคัญกับท้องถิ่นที่เกิดมาก่อนรัฐบาลกลาง" ดังชื่อประเทศ "United States" ที่หมายถึง "การรวมตัวของมลรัฐต่างๆ เข้าด้วยกัน" และผู้คนในระดับมลรัฐนี้เองที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาจนสหรัฐกลายเป็นชาติมหาอำนาจ
หรือประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ ในอดีตเมื่อร้อยกว่าปีก่อนก็มีปัญหาการทุจริตมาก แต่เมื่อมีการกระจายอำนาจให้ประชาชนมีส่วนร่วมดูแลและพัฒนาตั้งแต่ในระดับท้องถิ่น ปัญหาดังกล่าวใน สวิตเซอร์แลนด์ก็หายไปและกลายเป็นประเทศ ที่มีแต่สันติสุข รวมถึง ญี่ปุ่น ที่เมื่อแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วถูกสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ชนะ สงครามบังคับให้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ฝ่าย ผู้ชนะเขียนขึ้น ซึ่งมีเนื้อหาลดอำนาจรวมศูนย์จากส่วนกลางแล้วกระจายอำนาจไปให้ท้องถิ่น ไม่นานญี่ปุ่นก็ฟื้นตัวจนช่วงหนึ่งถือว่ามีความเข้มแข็ง ทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของโลก
นพ.ประเวศ ยังกล่าวด้วยว่า "ท้องถิ่นเป็นแหล่งสร้างผู้นำที่มีคุณภาพให้รัฐบาล ส่วนกลาง" เห็นได้จากประธานาธิบดีของ 2 ชาติมหาอำนาจคือสหรัฐอเมริกาและจีน หลายคนมีที่มาจากผู้ว่าการมลรัฐหรือผู้ว่าการมณฑลก่อนจะขึ้นมาอยู่ในการเมืองระดับประเทศ "คนเหล่านี้ พิสูจน์ตนเองมาแล้วว่ามีความสามารถจริง" จนได้รับการยอมรับจากคนในพื้นที่ ทั้งนี้สำหรับจีนแม้รัฐบาลกลางจะเป็นคอมมิวนิสต์แต่ก็ให้ความสำคัญกับบทบาทของท้องถิ่นมาก มีการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อพัฒนาท้องถิ่นสูงที่สุดในโลก
ส่วนประเทศไทยแม้ผู้มีอำนาจจะไม่ค่อยสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนเท่าใดนัก แต่ท้องถิ่นหรือภาคประชาชนได้พยายามขับเคลื่อนมาโดยตลอดจนกลายเป็นวัฒนธรรม และวัฒนธรรมนั้นมีพลังยิ่งกว่ากฎหมาย ซึ่งพลังชุมชนวันนี้เข้มแข็งขึ้นมากแล้วจึงไม่มีใครที่จะสามารถหวนกลับไปสู่การรวมศูนย์อำนาจได้อีก ดังนั้นก็อยากให้มีการผลักดันกันต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะการปฏิรูปที่สำคัญที่สุดคือการกระจาย อำนาจให้ท้องถิ่นบริหารจัดการตนเอง เมื่อชุมชน เข้มแข็งประเทศโดยรวมก็จะมั่นคงและยั่งยืน
"ถ้าเลือกตั้งแล้วยังรวมศูนย์อำนาจอยู่ประชาธิปไตยก็เป็นเพียงพิธีกรรมมาออกเสียงเลือกตั้งกัน เพราะฉะนั้นในการเลือกตั้งที่กำลังเตรียมกันอยู่ในขณะนี้ หลังเลือกตั้งคนไทยต้องเรียกร้องให้กระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นอย่างจริงจัง แล้วก็ต้องไปถามพรรคการเมืองทุกพรรคที่กำลังต่อสู้กัน ว่าพรรคใดมีนโยบาย ที่จะกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นบ้าง" นพ.ประเวศ ฝากข้อคิด
บทความ "กรุงเทพฯ คือตัวอย่างที่ดี ของเมืองที่เลวที่สุดในโลก" เผยแพร่โดยศูนย์ศึกษามหานครและเมือง วิทยาลัย รัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อปลายปี 2559 ความตอนหนึ่งระบุว่า กรุงเทพฯ กลายเป็น "เมืองโตเดี่ยว (Primate City) ที่ใหญ่ที่สุด ในโลก (วัดจากจำนวนประชากร)" โดยมีขนาดใหญ่กว่าเมืองอันดับ 2 ของประเทศอย่างเทศบาลนครนนทบุรีถึง 22 เท่า และใหญ่กว่า เทศบาลนครแม่สอดถึง 161 เท่า
ซึ่งการดูดซับผู้คนเข้ามามากเกินไปจนทำให้กรุงเทพฯ เติบโตจนเกินกำลังบริหารจัดการ สาเหตุสำคัญมาจากกรุงเทพฯ มีช่องทาง การสร้างรายได้ที่หลากหลาย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น โอกาสในเมืองใหญ่ จึงมีมากกว่า ดังนั้นแม้จะมีเสียงบ่นว่าอยู่ในกรุงเทพฯ มีปัญหามากมายทั้งการจราจรติดขัดและน้ำท่วมขังรอระบายยามเกิดฝนตกหนัก แต่คนไทยจำนวนมากก็ยังเลือก เดินทางเข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ อยู่เสมอมา