กรมอนามัย หนุนบังคับใช้ กม.ไขมันทรานส์

ที่มา :  MGR Online


กรมอนามัย หนุนบังคับใช้ กม.ไขมันทรานส์  thaihealth


แฟ้มภาพ


กรมอนามัย หนุนบังคับใช้กฎหมายไขมันทรานส์ ห้ามผลิต นำเข้า และจำหน่าย ชี้ ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียน แนะอ่านฉลากโภชนาการทุกครั้งก่อนซื้อ เลี่ยงกินอาหารทอด ลดขนมอบและเบเกอรี ลดการบริโภคไขมันอิ่มตัว ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง


พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 พ.ศ. 2561 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย ซึ่งกำหนดให้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนและอาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นส่วนประกอบ เป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย มีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 มกราคม 2562 เพื่อคุ้มครองสุขภาพของคนไทย ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ได้รับการชื่นชมจาก WHO เรื่องมาตรการทางกฎหมายที่ชัดเจน และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนและสื่อสารถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ อย.ได้จัดทำแผนตรวจสอบ ติดตาม และเฝ้าระวัง ณ สถานที่ผลิต สถานที่นำเข้า และสถานที่จำหน่ายทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค หากพบการกระทำฝ่าฝืน จะมีโทษตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 20,000 บาท


“ไขมันทรานส์ (Trans fat) ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เพิ่มไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) เพิ่มระดับไขมันตัวร้าย แอลดีแอล-คอเลสเตอรอล(LDL- cholesterol) ลดระดับไขมันตัวดี เอชดีแอล-คอเลสเตอรอล (HDL- cholesterol) ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต เพราะไขมันทรานส์ย่อยสลายได้ยากกว่าไขมันชนิดอื่น ทำให้ตับต้องย่อยสลายด้วยวิธีการที่แตกต่างไปจากการย่อยสลายไขมันตัวอื่น จึงอาจก่อให้เกิดภาวะผิดปกติกับร่างกาย ทำให้มีการอักเสบของผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง นอกจากนี้ยังส่งผลให้เสี่ยงต่อจอประสาทตาเสื่อม นิ่วในถุงน้ำดี และยังเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ทั้งนี้ การออกประกาศข้อบังคับทางกฏหมายฯ นี้นับเป็นมาตรการที่ดีที่ช่วยให้ผู้บริโภคลดโอกาสการบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบ และลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว


ดร.สายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กล่าวว่า FAO/WHO แนะนำว่าไม่ควรรับประทานกรดไขมันทรานส์มากกว่า 1% ประมาณ 2 กรัมต่อวันหรือไม่ควรบริโภคเป็นประจำ และควรรับประทานกรดไขมันอิ่มตัว (saturated fat) น้อยกว่า 10 % หรือน้อยกว่า 18-22 กรัมต่อวัน หากเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ควรรับประทานไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า 7 % หรือน้อยกว่า 12-15.5 กรัมต่อวัน ไขมันอิ่มตัวเป็นอีกตัวหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เพราะไขมันอิ่มตัวจะเพิ่มคอเลสเตอรอลโดยรวมในร่างกาย แต่ต่างจากไขมันทรานส์คือไขมันอิ่มตัวจะไม่ลดไขมันตัว ที่ดี (HDL- cholesterol) จึงไม่ร้ายเท่าไขมันทรานส์ ซึ่งอาหารที่เคยมีส่วนประกอบของไขมันทรานส์จะผ่านกระบวนการเปลี่ยนโครงสร้างเป็นไขมันอิ่มตัวแทน ดังนั้น ควรเลี่ยงอาหารที่อุดมด้วยไขมันได้แก่ อาหารทอด ฟาสฟูดส์ ขนมอบและ เบเกอรี่ ไขมันที่มาจากสัตว์ เช่น เนื้อติดมัน เนื้อมันแทรก มันหมู หนังไก่ สะโพกไก่ เนย ชีส ไขมันที่มาจากพืช เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ครีมเทียม เป็นต้น ควรเลือกรับประทานอาหารไขมันอย่างเหมาะสม ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ใช้น้ำมันที่ปรุงอาหารให้หลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน หลีกเลี่ยงการกินน้ำมันโดยตรง เลี่ยงกินอาหารทอด ลดขนมอบและเบเกอรี่ อ่านฉลากโภชนาการทุกครั้งก่อนซื้อ และเพิ่มการกินผักและผลไม้รสหวานน้อยหลากหลายชนิดเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี ลดความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

ระบุข้อความ