กทม.เร่งฝังบ่อขยะมลพิษ-กลิ่นเหม็นชี้สารพิษเสี่ยงมะเร็ง สน.ฉลองกรุงอันตราย
กทม.เร่งกลบฝังขยะ แก้มลพิษ กลิ่นเหม็น ปัญเจ็บป่วยให้ตำรวจ สน.ฉลองกรุง-ชาวบ้านโดยรอบ ด้าน รมช.สธ.ลงพื้นที่ชี้สารพิษ 4 ชนิดเสี่ยงมะเร็ง เร่งให้คำแนะนำช่วยเหลือ
กรณีบ่อขยะของเอกชนที่ทำสัญญาร่วมกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) อยู่ด้านหลัง สน.ฉลองกรุง ได้สร้างมลพิษทางอากาศ ส่งกลิ่นเหม็น เกิดแมลงพาหะของโรค ตลอดจนอาการเจ็บป่วยให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ฉลองกรุง และชาวบ้านที่อาศัยอยู่พื้นที่โดยรอบ โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งแก้ไข 2 ระดับ ในระยะสั้นให้ย้ายสถานที่ทำงาน สน.ฉลองกรุง ไปอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง มีพื้นที่ 550 ตารางเมตรเป็นการชั่วคราว 6 เดือน คาดว่าเปิดให้บริการประชาชนได้ในอีก 2 สัปดาห์ ส่วนแผนระยะยาว จะหาสถานที่ก่อสร้างโรงพักแห่งใหม่ ใช้เวลาไม่เกิน 2 ปี
ล่าสุดวันที่ 15 พฤษภาคม นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมกับเจ้าหน้าที่เขตลาดกระบัง กรมอนามัย กรมควบคุมมลพิษ ลงพื้นที่ สน.ฉลองกรุง และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ บก.น.3.ได้ตรวจสอบมลพิษและให้คำแนะนำในการรับมือปัญหาจากบ่อขยะ
นพ.สุรวิทย์ กล่าวว่า บ่อขยะแห่งนี้เป็นบ่อดินขนาดใหญ่มีเนื้อที่เกือบ 300 ไร่ โดยเป็นบ่อทิ้งขยะจากโรงงานมีสารอินทรีย์ พลาสติกเศษแก้วและอื่นๆ ซึ่งเคยนำดินมาปิดปากบ่อขยะเมื่อเวลาผ่านไป ปรากฏว่ามีแก๊สผุดขึ้นซึ่งนอกจากติดไฟแล้วยังมีไอระเหยของสารพิษปนอยู่ โดยเฉพาะช่วงที่มีอากาศร้อนจัดอย่างช่วงนี้ ปัญหาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ฉลองกรุงและประชาชนได้รับคือกลิ่นเหม็นรุนแรงคล้ายสารเคมี กลิ่นเหม็นจะทวีความรุนแรงในช่วงเวลากลางคืนและมีฝนตก ส่งผลให้มีการเจ็บป่วยตามมา
ทั้งนี้ จากข้อมูลการตรวจสอบของสำนักอนามัย กทม.ที่ได้ตรวจวัดคุณภาพอากาศด้วยการตรวจตัวชี้วัด 4 ตัว ได้แก่สารไวนิลคลอไรด์มีค่าเกินมาตรฐาน เมื่อหายใจเข้าไปจะติดขัด รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน หัวใจเต้นผิดปกติ สารที่ 2 คือ สารเบนซิน เกินค่ามาตรฐาน จะทำให้เกิดโรคปอดอักเสบ ระคายเคืองระบบหายใจ เป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง สารที่ 3 คือสารไตรคลอโรเอทธิลีน มีค่าสูงกว่ามาตรฐาน ทำให้ระคายเคืองระบบหายใจ คลื่นไส้อาเจียนเป็นลมหมดสติ และอาจเสียชีวิตได้เมื่อสัมผัสนี้ในความเข้มข้นสูง นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อตา ทำให้แสบตา น้ำตาไหล และสารที่ 4 สารไดคลอโรอีเทน ซึ่งจะดูดซึมทางผิวหนังได้ดีถ้ารับปริมาณมากจะทำลายระบบประสาท ตับและไต ซึ่งสารพิษทั้ง 4 ชนิดนี้เป็นสารเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ กระทรวงจะให้คำแนะนำตำรวจและชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงให้ดูแลสุขภาพตัวเองและปฏิบัติตามข้อแนะนำหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้พื้นที่บ่อขยะ ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อลดการสูดดมสารพิษ สวมเสื้อแขนยาว สวมถุงมือ หมวกและแว่นตา เพื่อลดการสัมผัสสารพิษผ่านทางผิวหนัง และล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้งหลังจับวัสดุในพื้นที่ขยะ หากใครมีอาการผิดปกติรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
เจ้าหน้าที่สำนักอนามัย กทม.กล่าวว่า ล่าสุดทาง กทม.ได้หารือกับเจ้าของที่ดิน ในเบื้องต้นจะดำเนินการล้อมรั้วรอบพื้นที่ และนำหินลูกรังมากลบเพื่อไม่ให้ติดไฟ รวมทั้งบรรเทาเบาบางกลิ่นเหม็นของขยะ นอกจากนี้ กทม.มีรถตรวจมลพิษทางอากาศ เป็นรถโมบายเคลื่อนที่ ก็จะนำมาตรวจในพื้นที่ดังกล่าวอีกหลายจุด เพื่อดูรัศมีการแพร่กระจายของสารพิษด้วยว่าไปกว้างขนาดไหน ซึ่งจะง่ายต่อการควบคุมแก้ไขต่อไป
พ.ต.ท.อรรถพันธ์ วัชระปันตรี สว.อก.สน.ฉลองกรุง กล่าวว่า มาทำงานอยู่ที่นี่ได้ 7 ปีแล้ว และได้รับสารพิษมาโดยตลอด ตำรวจที่อยู่ที่นี่ได้รับสารพิษกันหมด โดยเฉพาะตำรวจที่อยู่ประจำ สน. ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ศูนย์วิทยุตำรวจชุมชนสัมพันธ์ พนักงานสอบสวน และส่วนตนมีอาการแสบตาแสบจมูก มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย และมาเป็นหนักเมื่อปี พ.ศ.2553 จนร่างกายอ่อนแรง หายใจติดขัด และเมื่อถึงเวรพักกลับไปอยู่ที่บ้านสูดอากาศบริสุทธิ์ก็รู้สึกดีขึ้น โชคดีที่ไปตรวจร่างกายยังไม่เป็นโรคอะไร
“ตอนนี้ก็ดีใจและขอขอบคุณผู้บังคับบัญชาท่าน ผบ.ตร. ที่เล็งเห็นความสำคัญ อนุมัติให้เราย้ายสถานที่ และจะหาสถานที่ถาวรให้ในระยะยาว แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาดูแลแก้ไข ตำรวจย้ายไปแล้ว แต่ชาวบ้านเขายังอยู่” พ.ต.ท.อรรถพันธ์กล่าว
พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. กล่าวถึงกรณีย้าย สน.ฉลองกรุงว่า การแก้ปัญหาเบื้องต้นได้ประสาน กทม.ให้ฝังกลบไปก่อน และให้สำนักงานเขตลาดกระบังแจ้งเจ้าของพื้นที่ หากเจ้าของพื้นที่ยังละเลย สำนักสิ่งแวดล้อมจะใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 ดำเนินการต่อไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก